วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 4 ก.ค. 2554

Daily Views
การเมืองเป็นเพียงปัจจัยบวกระยะสั้น

    สัปดาห์นี้คาดว่าตลาดจะได้รับปัจจัยบวกจากการจัดตั้งรัฐบาลของพรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดเหนือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเราเชื่อว่าตลาดจะรับรู้ผลดังกล่าวในเชิงบวกจากความชัดเจนที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีต่อเนื่องในช่วงนี้ และการแก้ปัญหาหนี้ในประเทศกรีซที่มีความคืบหน้า จะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุน

     อย่างไรก็ตามเรายังมองว่าช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานลงได้อีกและต่ำกว่าระดับ 1000 จุด (downside risk อยู่ที่ 970 จุด) จากการหมดลงของ QE2 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัจจัยเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อในประเทศ ขณะที่ปัจจัยการเมืองเป็นเพียงปัจจัยบวกระยะสั้นเท่านั้น เนื้องจากสุดท้ายพรรคเพื่อไทยจะนำเรื่องการนิรโทษกรรมมาพูดอีกครั้งหนึ่ง และจะสร้างกระแสต่อต้านจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย ดังนั้นในช่วงนี้ทำได้เพียงการเก็งกำไรเท่านั้น
สำหรับไตรมาสที่ 4 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง และต้นปีหน้าสำหรับของประเทศไทย ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: จากคำแนะนำที่ให้ซื้อหุ้นหรือ Long Future ก่อนการเลือกตั้ง เรามองว่าหุ้นปรับขึ้นรอบนี้เป็นโอกาสในการขายทำกำไรในระยะสั้น  เนื่องจากเรามองว่าการเก็งกำไรระยะสั้นจากปัจจัยการเมือง ยังคงเป็นการเก็งกำไรในตลาดขาลงระยะกลาง โดย SET index มีโอกาสขึ้นไปถึง 1070 แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของพรรคเพื่อไทย เช่น KTB BBL TISCO CPALL HMPRO CPF SPALI PS LOXLEY RS MAJOR BGH MINT

หุ้นแนะนำวันนี้:  ADVANC LOXLEY TISCO (กลุ่มสื่อสารและ กลุ่มธนาคารมีความน่าสนใจ)

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น โดยเราเชื่อว่า stagflation หรือ Double dip ที่กังวลกันยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงช่วงนี้ เป็นผลเพียงแค่ระยะสั้น จากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

สรุปผลกระทบการเมือง

เป็นที่แน่ชัดว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หลังจากได้เสียงส.ส. เกินกว่ากึ่งหนึ่ง และได้รับการตอบรับจากพรรคชาติไทยพัฒนา รวมถึงได้มีการทาบทามพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน  และพลังชล ซึ่งจะทำให้มีเสียงส.ส. ของผั่งรัฐบาลมีทั้งสิ้นประมาณ 297 เสียง จากทั้งหมด 500 เสียง ซึ่งแน่นอนจะทำให้ตลาดหุ้นตอบสนองในเชิงบวกระยะสั้นและ SET index อาจปรับเพิ่มขึ้นไปที่ 1070 จุด โดยเฉพาะหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลใหม่ เนื่องจากนักลงทุนที่ขายไปก่อนหน้านี้ กังวลว่าสถานการณ์ทางการเมืองหลังเลือกตั้งจะไม่แน่นอน

 อย่างไรก็ตามเรามองว่าปัจจัยการเมืองเป็นเพียงปัจจัยบวกระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากเราเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงหยิบยกเรื่องการนิรโทษและการนำเอาอดีตนายกฯ ทักษิณ กลับไทย ซึ่งแน่นอนคงมีแรงต่อต้านจากประชาชนกลุ่มหนึ่ง นอกจากนั้นในแง่เศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยจะต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ต่อจนถึงสิ้นปีนี้ และอาจขึ้นไปแตะถึง 5% นี้ยังไม่นับรวมนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไปที่ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบในชิงลบต่อกลุ่ม กลุ่มผู้รับเหมา กลุ่มIMM กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มเกษตร กลุ่มนิคมฯ และกลุ่มขนส่ง เป็นต้น
เราจึงมองประเด็นบวกเรื่องการเมืองเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น สุดท้ายตลาดหุ้นจะยังคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจโลก

สรุปนโยบายของพรรคเพื่อไทย

นโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย ยังคงมุ่งเน้นไปที่ฐานเสียงระดับ “รากหญ้า” เป็นหลัก อาทิ กองทุนหมู่บ้าน กองทุน S-M-L การพักชำระหนี้ครัวเรือน นโยบายประกันราคาข้าว บัตรเครดิตเกษตรกร เป็นต้น โดยเราคาดว่านโยบายเหล่านี้อาจช่วยกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศให้กลับมาเติบโตเหมือนยุคพรรคไทยรักไทย โดยจะส่งผลดีต่อหุ้น domestic play เช่นหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ (CPALL HMPRO MAKRO BIGC ROBINS) ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด ตลอดจนหุ้นในกลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY) และกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่คาดว่าน่าจะได้รับอานิสง ค์จากกำลังซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รวมถึงบ้านและคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้นของประชาชนจากนโยบายคืนภาษีบ้านหลังแรกและรถคันแรกอีกด้วย นอกจากนี้หุ้นที่ปล่อยสินเชื่อรายย่อยก็น่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวด้วยเช่นกัน (TISCO TCAP KK AEONTS THANI)
และนโยบายเขื่อนป้องกันน้ำท่วมและเมืองหลังเขื่อน ตลอดจน สะพานเศรษฐกิจ (Land Bridge) ภาคใต้ การขยายแอร์พอร์ตลิงค์ไปภาคตะวันออก โครงการรถไฟรางคู่จากเหนือจรดใต้ โครงการรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพและปริมณฑล 10 สาย ของพรรคเพื่อไทย เราคาดว่าจะเป็นแรงหนุนที่ดีสำหรับกลุ่มผู้รับเหมาและกลุ่มวัสดุก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มธนาคารที่จะได้ประโยชน์จากการขอสินเชื่อเพื่อลงทุนโครงการขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตามนโยบายการขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันของพรรคเพื่อไทย จะส่งผลลบต่อหลายอุตสาหกรรมเช่น กลุ่มผู้รับเหมา กลุ่มIMM กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มเกษตร กลุ่มนิคมฯ และกลุ่มขนส่ง อย่างไรก็ตามเราคาดว่ารัฐบาลคงลดภาษีนิติบุคคลเพื่อลดผลกระทบจากการขึ้นค่าแรง ดังนั้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์คือกลุ่มที่ค่าจ้างแรงงานมิได้อิงกับค่าแรงขั้นต่ำเป็นหลัก เช่นกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัย กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มสื่อ กลุ่มประกันและกลุ่มธนาคาร
นโยบายด้านการสื่อสารก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ พรรคเพื่อไทยมีโครงการ Free WiFi เพื่อประชาชน ซึ่งเป็นผลลบต่อผู้ประกอบการหลัก แต่เป็นผลดีต่อกลุ่มผู้รับเหมาวางระบบเช่น LOXLEY SAMART SAMTEL และ AIT

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น