วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนประจำวันที่ 12 กรกฏาคม 2554

ปัญหาหนี้ยุโรปกลับมาอีก และจะไม่หยุดแค่ตรงนี้

          ตลาดกลับมากังวลถึงปัญหาหนี้ในยุโรปอีกครั้ง โดยในครั้งนี้กังวลไปถึงประเทศอิตาลีว่าจะต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินเช่นเดียวกับกรีซ ซึ่งเราเชื่อว่าปัญหาหนี้ในยุโรปจะมีอย่างต่อเนื่องไปอีก 1-2 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ตลาดยังกังวลว่าสหรัฐฯ ยังไม่อาจบรรลุข้อตกลงการเพิ่มเพดานหนี้ได้
         ในขณะที่ก่อนหน้านี้นักลงทุนก็กังวลถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินเฟ้อของจีน อย่างไรก็ตามในระยะสั้นเรายังมองว่าช่วงท้ายสัปดาห์ตลาดหุ้นจะได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการของบริษัทจะทะเบียนในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะออกมาดี ขณะที่นักลงทุนอาจเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการของกลุ่มธนาคารไทย ที่จะประกาศออกมาดีในสัปดาห์หน้า

สำหรับมุมมองในระยะกลาง เรายังคงมุมมองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ว่าจะเป็นไปในลักษณะ sideway up มากกว่าที่จะขึ้นไปทันทีเนื่องจากตลาดหุ้นโลกยังมีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อ รวมถึงปัญหาหนี้ในยุโรปที่ยังไม่หมดไป และเชื่อว่าจะมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การหมดลงของ QE2 จะจำกัดสภาพคล่องในตลาดโลก ซึ่งจะจำกัดกรอบการขึ้นของตลาดหุ้น ขณะที่ตลาดหุ้นหลังจากรับรู้ข่าวดีเรื่องการเมืองไปแล้ว ช่วงที่เหลือในไตรมาสที่ 3 ก็จะรอดูความชัดเจน และผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นจากนโยบายต่างๆ ดังนั้นเรายังมองว่าไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับฐานลงได้อยู่ โดยเรามอง Downside risk ของตลาดหุ้นไว้ที่ 1013 ซึ่งการปรับฐานอาจจะเกิดขึ้นในเดือนส.ค.
สำหรับไตรมาสที่ 4 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง และต้นปีหน้าสำหรับของประเทศไทย ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  เรามองความเสี่ยงการลงทุนในระยะสั้นมีเพิ่มขึ้น ทั้งจากนโยบายของภาครัฐและปัญหาหนี้ในยุโรป อย่างไรก็ตามเรามองว่าหุ้นปลายสัปดาห์นี้จนถึงต้นสัปดาห์หน้าอาจจะ rebound ขึ้นมา จากการเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ และของกลุ่มธนาคารไทย แต่การเก็งกำไรคงต้องมีจุด stop loss  หาก SET ปรับลงมาต่ำกว่า 1070 (ตามสัญญาณทางเทคนิค) ส่วนหุ้นที่เป็นกระแสในการเก็งกำไรช่วงนี้คือหุ้นในกลุ่มหุ้นขนาดกลางเช่นกลุ่มโรงแรม (MINT CENTEL) กลุ่มพาณิชย์ (HMPRO BIGC) กลุ่มบ้าน (AP SPALI) กลุ่ม ICT (LOXLEY) กลุ่มบันเทิง (RS MCOT) เป็นต้น ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารและพลังงาน ใช้กลยุทธ์ซื้อเมื่ออ่อนตัว ลุ้น rebound สัปดาห์หน้า

หุ้นแนะนำวันนี้:  BIGC RS MINT

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้สะสมซื้อเมื่อ SET index ต่ำกว่า 1040 จุด
ปัจจัยที่เกิดขึ้นรอบโลก

ดัชนี DJ ปิดลบ 151.44 จุด หรือ 1.20% ปิดที่ 12,505.76 จุด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 24.31 จุด หรือ 1.81% ปิดที่ 1,319.49 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 57.19 จุด หรือ 2.00% ปิดที่ 2,802.62 จุด เนื่องจากนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวัง ต่อสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการคลังของอิตาลี เพราะเกรงว่าอิตาลีอาจจะเป็นประเทศต่อไปในยุโรปที่ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้แบบเดียวกับกรีซ หลังจากที่มูดีส์ ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อว่าตราสารหนี้ระยะยาวและเงินฝากของธนาคารเอกชน 16 แห่งของอิตาลี ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมเตือนว่ามีความเป็นไปได้ที่มูดีส์จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีซึ่งปัจจุบันยืนอยู่ที่ระดับ Aa2 หลังจากเศรษฐกิจอิตาลีขยายตัวเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ตัวเลขหนี้สาธารณะมีอยู่สูงถึง 120% ของตัวเลขจีดีพี สูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรป ทั้งนี้อิตาลีได้ประกาศควบคุมการทำชอร์ตเซลล์ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลอิตาลีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีที่ 5.565% ส่งผลให้ค่าสเปรดของพันธบัตรอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2.90% เมื่อเทียบกับพันธบัตรของเยอรมนี ขณะเดียวกัน ตลาดวิตกกังวลกับข่าวที่ว่า ที่ประชุมระหว่างคณะทำงานของประธานาธิบดี บารัค โอบามาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการปรับเพิ่มเพดานหนี้ ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มกังวลว่า สหรัฐอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ผิดนัดชำระหนี้

ที่มา: บล กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น