วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

DTAC จะถูกปิดกิจการหรือไม่??

DTAC จะถูกสั่งปิดกิจการ หรือไม่??
อยากจะพิมพ์แชร์ข้อมูลกันตั้งแต่ตอนเช้าแล้วนะครับ แต่พอดีวันนี้งานเยอะมากกกก ก็เลยได้ฤกษ์เอาตอนเย็นๆ ขอเอาข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันที่ 23 มิถุนายน 54 มาเป็นแหล่งข่าวนะครับ
ต้องกล่าวก่อนว่า หุ้นกลุ่ม ICT เป็นอะไรที่ยุ่งยากปัญหาเยอะมากๆ เพราะนอกจากจะเป็นหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งมีเรื่องของความรวดเร็วในการพัฒนาและตอบสนองลูกค้าแล้ว ถ้าบริษัทใดสามารถหาจุดเด่นที่บริษัทอื่นในกลุ่มเดียวกันไม่สามารถทำได้ ก็จะชิงส่วนแบ่งทางการตลาดหรือพูดง่ายๆ ก็คือลูกค้าก็จะพร้อมใจกันเปลี่ยนค่ายมาใช้ค่ายที่มีโปรโมชั่น, ลูกเล่นใหม่ๆที่น่าดึงดูดกว่า ดังนั้นในกลุ่มหุ้น ICT ที่จะยกมาพูดถึงจากข่าวก็คือ หุ้นตัวเอ้ 3 ตัว หรือในบล. ของ Blogger จะเรียกว่า กลุ่ม 3G ครับ (DTAC TRUE และ ADVANC) นอกจากเรื่องความรวดเร็วก็ยังมีเรื่องด้านความมั่นคง ซึ่งแน่นอนครับว่าจะต้องเกี่ยวข้องเกี่ยวกับ การเมือง โอ๊ย แค่คิดก็วุ่นแล้วครับ 
 (ปล ถ้าใครรู้จักดาวเทียม THCOM ก็อยู่ในกลุ่ม ICT ครับ -...-" ตัวน่าปวดหัวเลยครับ)
สำหรับหุ้นเด่นๆ ในกลุ่มนี้ก็ได้แก่    
1.   ADVANC ผู้ก่อตั้งบริษัทก็... อดีตนายกรัฐมนตรีของเราเองครับ)
2.   DTAC มาจากกลุ่ม UCOM เก่า (เพิกถอนออกจากตลาดตั้งแต่ปี 2006 แล้วครับ)
3.   TRUE มาจาก กลุ่ม Telecom Asia แล้วก็ซื้อกิจการด้านโทรคมนาคมต่อจาก Orange กลายเป็นบริษัท True Move อย่างที่เราเห็นๆกันครับ
ตามที่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจได้ลงไว้ว่า TRUE ได้ทำการฟ้อง DTAC ว่ามีต่างด้าวถือหุ้นอยู่ในบริษัทเกินจำนวน โดยเป็นนิติบุคคลต่างด้าวที่เป็นผู้ถือหุ้นอยู่รวม 71.35% ซึ่งที่ต้องสงสัยมีอยู่ 3 แห่งคือ 1. บริษัท เทเลนอร์ เอเชีย จำกัด (สิงคโปร์)  เป็นนิติบุคคลต่างด้าว ถือหุ้นดีแทค 39.58% 
2. บริษัท ตั๊กวู โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างด้าวจดทะเบียนอยู่ที่เกาะบริติชเวอร์จินไอส์แลนด์ และอยู่ในผู้ถือหุ้นใน 5 ลำดับชั้นของดีแทค ที่จะต้องทำการตรวจสอบ โดยที่ตั้งบริษัทเดียวกัน กรรมการกลุ่มเดียวกัน และแหล่งเงินทุนมาจากที่เดียวกัน 
3. บริษัท ไทยเทลโค โฮลดิ้งส์ เป็นนิติบุคคลไทย ถือหุ้น 25.59 % ซึ่งต้องระวังว่าจะเกิดการกระทำความผิดในลักษณะโดมิโน เพราะจะทำให้การถือครองหุ้นของต่างด้าวเกิน 49 % และทางดีแทคก็ไม่ได้ยื่นขออนุญาตกับอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในเรื่องการถือครองของชาวต่างชาติ 

     แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าหากเกิดกรณีที่ดีแทคเป็นธุรกิจของคนต่างด้าวจริง และถือว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว แต่ในระหว่างที่ศาลสั่งให้หยุดดำเนินการกิจการ ทางดีแทคสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นให้ถูกต้องตามกฎหมายและขออนุญาตดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมต่อคณะกรรมการประกอบธุรกิจคนต่างด้าวได้

ในรูปแสดงถึงผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทดีแทค นะครับ



 ที่มา: http://www.settrade.com/C04_05_stock_majorshareholder_p1.jsp?txtSymbol=DTAC&selectPage=5


ถามว่าในมุมมองของผมแล้ว ข่าวที่เกิดขึ้นเป็น ข่าวร้ายในระยะสั้นครับ DTAC มีลูกค้าอยู่ทั่วประเทศประมาณ 22 ล้านราย ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสั่งปิดกิจการไป เพราะกระทบกับคนส่วนใหญ่(มาก) ของประเทศ และคดีที่คล้ายคลึงกันก็เคยเกิดครับ (คดีซุกหุ้น ของ อดีตนายกฯ ไงครับ) 
ถามว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้มั้ย จะทำให้บริษัท ดีแทค ต้องปิดกิจการมั้ย?

ในมุมมองของ Blogger ก็ต้องยอมรับว่าเมืองไทยมี บริษัทที่มี Nominee ชาวต่างชาติมาถือครองอยู่เยอะครับ เพียงแต่มันก็เหมือนการยอมรับ บางบริษัทอาจจะจดทะเบียนกับกระทรวงฯ แต่บางบริษัทก็แอบเป็นแบบนั้น ถ้ากฎหมายตัวนี้เกิดเฮี้ยบขึ้นมา คราวนี้แหละ ประเทศไทยเรา หลายๆบริษัท รื้อข้อมูลกันวุ่นวายเลยครับ 

สุดท้าย Blogger ก็ขอมองว่าเป็นแค่การเล่นแง่กันของทั้งสองบริษัทคือ TRUE และ DTAC ครับ เพราะต้องอย่าลืมว่า บริษัทในกลุ่ม ICT ก็มีเรื่องของการชิงความรวดเร็ว และความแตกต่างของการให้บริการครับ

สิ่งที่ต้องจับตาคือ
1.             TRUE จับมือกับ CAT ใกล้จะเปิด 3G DTAC ก็ฟ้องให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว (ทำให้ TRUE ยังไม่สามารถเปิดใช้ 3G ได้ก่อนบริษัทอื่น)
2.             การเพิ่มทุนของ TRUE ทำให้ราคาหุ้นของ TRUE ถูกปรับตัวลดลงมาและตอนนี้ก็ราคาลงต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง เพราะ Earnings ที่ออกมาก็ไม่ดี Div Yield ก็ไม่มี บริษัทไม่เคยจ่ายปันผลเลยในช่วง 4 – 5 ปี คำถามคือหุ้นของ TRUE เทรดในราคาที่เหมาะสมแล้วหรือไม่
3.             การที่บริษัท ADVANC ทำกำไร new high ครั้งใหม่เมื่อเทียบกับผลการประกอบการในรอบเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ราคายังไม่ถึง high เดิมเลย แสดงว่าเรื่องการเมืองก็ยังมีผลอยู่อีกมาก และจากการที่ 2 บริษัทคู่แข่งทะเลาะกันเอง ก็มีสิทธิ์ให้นักลงทุนตัดสินใจมาลงทุนในหุ้น ADVANC แทน
สุดท้ายนี้หากใครเคยเล่น ทฤษฏีเกม หรืออ่านทฤษฎีเกมอยู่ ลองประยุกต์มาใช้กับหุ้น 3G พวกนี้ดูครับแล้วจะเข้าใจความซับซ่อน เหมือนที่ผมจั่วหัวไว้ใน Chula Invest club เลยครับว่า “สุดท้าย มันก็คือเรื่องของธุรกิจ”

ปล. บทความนี้ผมพยายามค่อยๆ กรองความคิดในหัวออกมานะครับ อาจจะยังสับสนอยู่บ้างเพราะพยายามพิมพ์ให้เห็นภาพแต่ ถ้าใครยังสงสัยในส่วนไหน โพสต์ทิ้งไว้ใน Facebook หรือในส่วนนี้ก็ได้นะครับ จะพยายามปรับปรุงให้กับเพื่อนๆ ทุกคนที่ได้อ่านกันครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น