วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความเสี่ยง ! สิ่งที่เราต้องเผชิญในปี 2012


                ใกล้จะถึงปีใหม่แล้วนะครับก็ไม่เคยคาดคิดหรือคาดหวังว่าจะมีคนสนใจบล็อกเล็กๆ ของผมมากขนาดนี้ ขอบคุณทุกกำลังใจ ทั้งพลังเงียบ และพลังไม่เงียบ นะครับที่ส่งมาให้ :):D

                หลายคนอาจจะมีความรู้สึกไม่ดีกับคำว่า “ความเสี่ยง” แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า ความเสี่ยง นั้นจริงๆ แล้วก็เป็นผลดีกับคุณก็เป็นได้ ในทางสถิติความเสี่ยงก็คือค่าที่ผันผวน (SD) ออกจากค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็น (MEAN)  ในทางการเงินความเสี่ยงก็คือ ค่าที่ผันผวนจากผลตอบแทนที่ควรจะได้รับ แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้คนส่วนใหญ่ย่อมวิตกไปในเชิงลบ (Downside) มากกว่า เชิงบวก (Upside) แน่นอนครับผมก็เป็น 1 ในนั้นเช่นกัน

                แต่ที่ผมจะเสนอในบทความนี้ก็คัดสรรมาจากหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นประจำวันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2554 นี่เองครับ
โดยทางหนังสือพิมพ์ได้นำเสนอบทความชิ้นหนึ่งที่ผมสนใจคือ “แนวโน้มความเสี่ยงสำหรับเศรษฐกิจปี’55” แต่สำหรับผมแล้วรู้สึกเนื้อหามันจะสื่อไปทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯเสียมากกว่าจึงข้อตั้งชื่อหัวข้อ ตามทางของตัวเองนะครับ

                เรื่องมีอยู่ว่า ปีหน้าให้จับตาเรื่องสำคัญ 4 เรื่องที่จะเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง (กับตลาดสหรัฐฯ ??) คือ
1.       ภาวะซบเซาทั่วโลก การเติบโตทั่วโลกจะลดลงเหลือประมาณ 2.7% ในปี 2555 จาก 3% ในปีนี้ แต่จะขึ้นอยู่กับแต่ละทวีป เช่น ยุโรปก็น่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย จีน ลดการเติบโตเพื่อชะลอเงินเฟ้อ  ที่มา: บริษัท HIS Global Insight
2.       ปัญหายึดทรัพย์ แม้ล่าสุดตัวเลขอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ จะออกมาดี แต่นักวิเคราะห์ก็เชื่อว่าตลาดที่อยุ่อาศัยในปีหน้า ปัญหาเรื่องการยิดทรัพย์จะทำให้ราคา ยอดขายและการก่อสร้างใหม่ๆ ลดลง ซึ่งก็มีข้อมูลตัวเลขว่าวนเดือนตุลาคมมีบ้านที่ถูกยึดหรือบ้านที่เจ้าของไม่ได้ชำระเงินตามกำหนด 3 เดือนหรือมากกว่านั้นอยู่ที่ 3.4 ล้านหลัง ที่มา: Barclay Capital  
3.       ตลาดงานซบเซา เช่นกันครับแม้ตัวแลขการจ้างงานล่าสุดจะลดลงสูงสุดในรอบ 3 ปี แต่ก็ยังมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเพิ่มแรงงานได้เฉลี่ย 123,000 ตำแหน่งต่อเดือน นั่นคืออัตรา Unemployment Rate จะสูงกว่า 8% ต่อไปจนถึงการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน  ที่มา: Well Fargo
4.       การรัดเข็มขัดของรัฐบาล ทั้งจากภาครัฐบาลท้องถิ่นและมลรัฐ ซึ่งการลอยแพและการตัดงบประมาณ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตในปีที่ผ่านมา จะลบการเติบโตของปี 2555 ราว 0.3% ส่วนการลดงบประมาณของรัฐบาลกลาง จะลดการเติบโต 0.23%
แต่อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์เอกชนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะโตปานกลาง 2% ในปี 2555

คำถามคือ? ทำไมเศรษฐกิจสหรัฐฯจะโต 2% ทั้งๆที่หลายๆ อย่างก็บอกแล้วว่าจะลดลง ???

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พฤศจิกายนนี้ มีอะไรให้น่าติดตาม???

 สวัสดีครับ เพื่อนๆ ทุกคน
เป็นอย่างไรกับตลาดหุ้นเมืองไทยกันบ้างครับ??? น้ำจ่อจะท่วมตั้งนานก็ขึ้นเอาขึ้นเอา หนี้ยุโรปท่วมก็ขึ้นเอา ขึ้นเอา ถามว่าเพราะอะไรล่ะ?

1. ต่างชาติซื้อสุทธิประมาณ 20,000 ล้านจากที่ขายอย่างหนักหน่วง 70,000 ล้าน คิดง่ายๆคือผมซื้อถูกกว่าคุณอ่ะ (ต้นทุน I 800 กว่าจุด ของ You กว่าจะรู้สึกตัว...ก็ 900) ปล.ผมก็เป็นครับรอบนี้เจอฝรั่งหลอกลวง T__T
2. สถานการณ์ยุโรปออกมาค่อนข้างดี เย้ เย้ เย้ กรีซมันมีปัญหาตั้งแต่ 2010 มันก็ยืดเยื้อมาถึงขนาดนี้ได้อ่ะครับ ข่าวดีหน่อยอ้าว เฮ ข่าวร้ายหน่อย อิอิ ขาย

แล้วสถานการณ์เดือนนี้ต้องจับตาอะไรเป็นแกนล่ะ?
1. น้ำท่วมบ้านเรา หนักกว่าจะประเมินแน่นอนครับ ไม่อยากจะโทษฝ่ายไหนครับ เป็นกลางทางการเมืองดีกว่า -___-" แต่ที่แน่ๆคือ กลุ่ม อสังหาฯ นิคมฯที่โดนน้ำท่วม อิเลคทรอนิคส์ รวมถึงโรงงานที่ตั้งในพื้นที่เสี่ยงและหายเสี่ยง (เพราะท่วมไปแล้ว) โดนแน่นอนครับ ปตท คิดว่าถือได้สบายๆ ไม่โดนน้ำท่วม??? ขอโทษครับ ผมเห็นรถจอดนิ่งแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตเลยฮะ
2. วิกฤติยุโรป จับตาไปที่ อิตาลีได้เลยครับ กรีซเล่นจนเบื่อและผมว่า อิตาลีหนักกว่าเยอะครับ หนี้อันดับ 3 ของโลกครับ ลุงซิลวิโอ แบร์ลุคโคนี่ จะจัดการอย่างไหร่ละงานนี้ครับ
3. อเมริกา ไม่ได้ดีกว่าที่ใครหลายๆ คนคิดหรอกครับ 21 พฤศจิกายนก็จะมีการชำระหนี้เข้ามาคิดว่ารอดมั้ย??? ก็สไตล์พี่กันอ่ะครับ ไปได้เรื่อยๆ ดึงเช้งของ 2 พรรคการเมือง ในข่าวของ CNBC บอกว่า Bipartysan (หมายถึง เดโมแครตและรีพับลิกัน นั่นเองครับ) ที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันได้แล้ว อย่ามัวแต่เล่นการเมือง หรือจะต้องจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
(ปล ขอแซวนิดนึงครับ ฮิตเหลือเกินรัฐบาลแห่งชาติเนี่ย กรีซก็มีคนเรียกร้องเช่นกัน)

ข่าวดีล่ะ????

Moody's ไม่ Downgrade การลงทุนประเทศไทยลง เพราอะไรล่ะ? ต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิในประเทศครับ Downgrade ก็งานกร่อยซิครับ รายย่อยน้ำท่วม สถาบันไม่เปลี่ยนเป็นซื้อจริงๆ ซักที (แต่เดี๋ยวเอ็งต้องเปลี่ยนแน่ ธันวาฯ ยังไงเอ็งก็ต้องซื้อกองทุน LTF RMF ของเอ็งเยอะ หึหึ)

นั่นเป็นมุมมองที่ผมมองนะครับ คุณว่าอย่างไรล่ะ???

สำหรับผม มูลค่าการซื้อขายต่อวันเกิน 20,000 ล้านผมก็แปลกใจแล้วนะครับ ก็รายย่อยบางท่านอาจจะต้องส่งคำสั่งในแหล่งพักผ่อนหรือกำลังหนีน้ำอยู่ เป็นผมๆคงไม่มีอารมย์หรอกครับ คนซื้อน้อย ก็ขายไม่คุ้มค่าซิครับ :)

วันนี้ขอบ่นแค่นี้ก่อนละกันนะครับ เดี๋ยวจะมาต่อเรื่องทอง สินค้าโภคภัณฑ์ ปีหน้าหนักแน่ครับ (ไม่รวยไปข้าง ก็ซึมกันไปข้างละวะงานนี้ :) )

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

15 Inspirational Steve Jobs Quotes

วันหยุด สบายๆ ชิวๆ ฝนตก"นานๆ" = =" ผู้อ่านท่านไหนน้ำท่วมอยู่ก็ขอให้น้ำลดโดยเร็วนะครับ ท่านไหนที่เตรียมการรับมืออยู่ก็ขอให้ทำได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีนะครับ นอกจากเรื่องน้ำท่วมที่เป็น Topic Talk of the Town ตอนนี้ก็ขอย้อนไปหน่อยว่าอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็คงไม่มีเรื่องอะไรที่จะดังคับโลกไปกว่า การจากไปขอ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคน บางคนอาจจะใช้สินค้าของเขา บางคนอาจจะไม่ได้ใช้แต่ก็ต้องรู้จักเขาดีแน่นอนครับ


ใช่แล้ว iCEO Steve Jobs แห่ง Apple Inc. นั่นเองครับ คงต้องบอกว่าไม่มีใครจะเป็นผู้บุกเบิก เทคโนโลยีแห่งยุคศตวรรษที่ 20 - 21 ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าเขาแล้ว ที่เห็นเท่าเทียมกันก็คงจะมี บิล เกตส์ กระมังครับ
BVP บทความนี้ไม่เอาประวัติ Jobs มาลงหรอกนะครับ เชยย อิอิ แต่เอาคำพูดคมๆ ที่ เขาเคยพูดเอาไว้มาบอกกล่าวในนี้ดีกว่า ว่าแล้วก็ลองไปอ่านกันดูนะครับ

ปล. ขออนุญาตไม่แปลนะครับ คัดลอกทั้งหมดเลย เพื่อได้อรรถรสในการอ่านครับ :D เชิญเสพ ได้ครับ

1. "Stay hungry, stay foolish" >>> คงไม่มีอะไรดังไปกว่าประโยคนี้แล้ว ที่มาของคำนี้หลายคนคงผ่านตามาแล้วนะครับ ไม่อธิบายให้มากครับ แต่ขอเสริมของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ได้เขียนไว้ถึง Steve Jobs ไว้หน่อยครับ "Stay Calm. Stay Invest"

2. If you haven't found it yet, keep looking. Don't settle, As with all matters of the heart, you'll know when you find it, And, like any great relationship, it just gets better and better as the years roll on.

3. When I was 17, I read a quote that went something like: "If you live each day as if it was your last, someday you'll most certainly be right." It made an impression on me, and since then, for the past 33 years, I have looked in the mirror every morning and asked myself: "If today were the last day of my life, would I want t do what I am about to do today?" And whenever the answer had been "NO" for too many days in a row, I know I need to change something" >>> ประโยคเด็ดที่มาจากงานรับปริญญาของมหาลัยสแตนฟอร์ด เช่นกันครับ

4. "We don't get a chance to do that many things, and every one should be really excellent. Because this is our life."

5. "Remembering that you are going to die is the best way I know to avoid the trap of thinking you have something to lose."

6."You can't connect the dots looking forward; you can only connect them looking backwards. So you have to trust the dots will somehow connect in your future. You have to trust in something - your gut, destiny, life, karma, whatever. This approach has never let me down, and it has made all the difference in my life."

7. "Design is not just what it look like. Design is how it work."

8. "I want to put a ding in the universe."

9. "No one wants to die. Even people who want to go to heaven don't want to die to get there. And yet death is the destination we all share. No one has ever escaped it. And that is as it should be, because Death is very likely the single best invention of Life. It is Life's change agent. It clears out the old to make way for the new. Right now the new is you, but someday not too long from now, you will gradually become the old and be cleared away. Sorry to be so dramatic, but it is quite true."

10. "Being the richest man in the cemetery doesn't matter to me. Going to bed at night saying we've done something wonderful, that's what matters to me."

11. "You can't just ask customers what they want and then try to give that to them. By the time you get it built, they'll want something new."

12. "My model for business is The Beatles: They were four guys that kept each other's negative tendencies in check; they balanced each other. And the total was greater than the sum of the parts."

13. "That's been one of my mantras - focus and simplicity. Simple can be harder than complex: You have to work hard to get your thinking clean to make it simple. But it's worth it in the end because once you get there, you can move mountains."

14. "I'm convinced that about half of what separates the successful entrepreneurs from the non-successful ones is pure perseverance."

15. "Your time is limited, so don't waste it living someone else's life. Don't be trapped by dogma- which is living with the results of other people's thinking. Don't let the noise of other's opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is seconday."

15 ประโยคเกินกว่าครึ่งน่าจะมาจากงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดนะครับ :)





สุดท้าย ก็ต้องบอกว่า "Good job! 'Steve Jobs' "
RIP  Steve Jobs 1955 - 2011

ที่มา: Flipboard on iPad >> mashable.com/2011/10/05/steve-jobs-quotes/

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Dollar Carry Trade แผลงฤทธิ์ !!!!!

ไม่ได้เข้ามาเขียนบล็อกนานเลยครับ วันนี้ว่างๆ หน่อย เคลียร์งานได้ รอ K GOLD ETF ของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย นำ IPO เข้าตลาดเสียหน่อย อิอิ ต่อไปโบรกเกอร์อย่างผมจะได้เทรดทอง 96.5% ที่ราคาอ้างอิง Real-Time ใกล้เคียงทองตู้แดงกับเขาแล้วฮะ (ประชาสัมพันธ์ซะยาวเลย อิอิ)
วันนี้ก็ขอนำบทความที่ไปอ่านเจอมา โพสต์ให้เพื่อนๆบล็อกได้อ่านกันนะครับ
ปล. อยากจะเอาเรื่อง ตลาดหุ้น Panic ในแต่ละครั้งมาลงให้อ่านกันนะครับ แต่ไว้ผมเรียบเรียงความคิดที่ได้เจอในหัวก่อน ไม่งั้นงานก็ออกมาไม่ดี อิอิ 
-----------------------------------------------------------------------------------------
โลกาภิวัตน์ คือกระบวนการที่ประชากรของโลก ถูกหลอมรวมเป็นสังคมเดี่ยว(วิกิพีเดีย) มีการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงกันของระบบเศรษฐกิจ

การที่สินค้า บริการ แรงงาน เงินทุนและเทคโนโลยี สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระและรวดเร็ว นำมาซึ่งความสะดวกสบายมาให้ผู้คนทั่วทุกมุมโลก แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ผู้ที่รู้เท่าทันย่อมสามารถฉกฉวยจากประโยชน์จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผู้ที่ล้าหลังอาจตกเป็นเหยื่อ ดั่งเหตุการณ์ที่หุ้นไทยถูกถล่มขายเมื่อเร็วๆ นี้ จากการปิดสถานะ Dollar Carry Trade ของนักลงทุนต่างชาติ

Dollar Carry Trade หมายถึง การกู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์ดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำไปแลกเป็นเงินสกุลอื่นเพื่อลงทุนต่อในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

การที่คนต่างชาติจะกู้จากธนาคารของประเทศเขา แล้วนำเงินดอลลาร์ที่ได้ มาแลกเป็นเงินบาทเพื่อซื้อหุ้น ซื้อพันธบัตรของไทย คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติแต่อย่างไร แต่ ที่ต้องถือว่าพิสดารคือการที่เขาสามารถใช้ช่องโหว่ของระบบโลกาภิวัตน์มาหาประโยชน์จำนวนมหาศาลให้กับตนเอง และทำได้อย่างง่ายดายนี่สิ คือ สิ่งที่เรากำลังสนใจ ซึ่งขออรรถาธิบายดังนี้

พวกเราคงทราบกันดีว่า เมื่อประเทศใดเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แนวทางการแก้ปัญหาของธนาคารกลาง คือ การลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อกดให้ดอกเบี้ยในประเทศต่ำลง เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและกระตุ้นให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยเพื่อให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียน ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อาจต้องใช้เวลา 5-20 ปี แล้วแต่ความรุนแรงของปัญหาและฝีมือของรัฐบาลประเทศนั้นๆ

ช่องโหว่ที่เกิดขึ้น คือ ถ้านักลงทุนรายใหญ่รู้ว่า ผลตอบแทนการลงทุนของประเทศอื่นๆ อย่างเช่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือไทย ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เช่น หากลงทุนในพันธบัตรอาจให้ผลตอบแทนประมาณ 3-5% ลงทุนในหุ้นอาจให้ผลตอบแทน 20-50% แถมยังได้กำไรจากค่าเงินของประเทศที่เข้าไปลงทุนติดไม้ติดมือมาด้วย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาจะฉวยโอกาสกู้เงินจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำ นำไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้อย่างไร นี่คือ สิ่งที่นักลงทุนสถาบันการเงินใหญ่ๆ ในโลกเขาทำกัน


และแล้ว โอกาสทองก็มาถึง เมื่อประเทศสหรัฐเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และธนาคารกลางสหรัฐได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่ำสุดที่ 0-0.25% และเราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าการที่ประเทศยักษ์ใหญ่เทอะทะเกิดสะดุดล้มลง กว่าที่เขาจะลุกฟื้นขึ้นมาได้นั้นคงต้องใช้เวลานานนับสิบปี นักลงทุนรายใหญ่ที่มีเครดิตดี จึงฉวยโอกาสกู้ยืมเงินดอลลาร์จากธนาคารในสหรัฐนำไปแลกเป็นเงินสกุลเอเชีย และนำไปลงทุนต่อในพันธบัตร หุ้น หรือแม้แต่ฝากกินดอกเบี้ยในประเทศที่กำลังมีเศรษฐกิจเฟื่องฟู

การที่เงินดอลลาร์หลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกทยอยเทขายออกเพื่อแลกไปเป็นเงินสกุลอื่น ตั้งแต่เงินยูโร เงินหยวน เงินวอน เงินบาท และอื่นๆ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ค่อยๆ อ่อนค่าลง ผสมโรงด้วยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ออกมาย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่ายอดขาดดุลการค้า อัตราการว่างงาน หรือยอดขายบ้านใหม่ ที่ช่วยซ้ำเติมค่าเงินดอลลาร์ให้ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ

ขณะที่อีกฟากฝั่งปลายทางที่เม็ดเงินถูกนำไปลงทุน เขาจะคัดเลือกประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดี ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยที่มีหนี้ภาคเอกชนน้อย หนี้ภาครัฐต่ำ อัตราการว่างงานน้อยมากเพียง 1% ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนกำลังเติบโต ผลจึงออกมาตรงกันข้าม ค่าเงินบาทค่อยๆ แข็งขึ้น และเมื่อมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นพร้อมๆ กันหลายหมื่นล้านบาท มันก็ช่วยผลักดันให้ดัชนีหุ้นพุ่งทะยานไม่ยาก


คำถาม คือ นักลงทุนเหล่านี้จะขายสินทรัพย์ที่ลงทุนเพื่อทำกำไรเมื่อไร กลยุทธ์ของเขา คือ ปล่อยให้กำไรวิ่งไปเรื่อยๆ คาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี การขายออกก่อนเวลาอันควร อาจได้กำไรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ในขณะเดียวกัน ต้องคอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา หากไหวตัวไม่ทัน อาจตกขบวนรถไฟ ขายไม่ได้ราคา

แต่แล้ว เวลาที่ต้องลงมือปฏิบัติการก็มาเร็วกว่าที่คาด สมาชิกในกลุ่มประเทศยุโรปเกิดมีปัญหาเศรษฐกิจปะทุขึ้นมา ถึงขั้นว่าหนี้สาธารณะของกรีซอาจผิดนัดชำระหนี้ สื่อต่างประเทศอย่าง บลูมเบิร์ก บอกว่าพันธบัตรของกรีซมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ถึง 98% ใน 5 ปี ข้างหน้า ทั้งที่ล่าสุดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร 2 ปีของกรีซ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 76% ต่อปี แต่ก็ไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้าไปลงทุนเพิ่มได้ เพราะมีข่าวว่า กรีซอาจต้องขอแยกตัวออกมาจากกลุ่มยูโรโซนเพื่อลดค่าเงินของตนให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น พร้อมกับอาจต้องเจรจาลดหนี้กับเจ้าหนี้ต่างประเทศให้ลดหนี้ลงมาเหลือ 50% ทำให้นักลงทุนต่างประเทศเกรงว่าผลตอบแทนที่ได้จะไม่คุ้มกับเงินต้นและค่าเงินที่เหลือ

เมื่อมีข่าวออกมาว่า แผนที่จะช่วยอุ้มประเทศกรีซดูท่าจะพังพาบ เพราะยังมีประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจอีกหลายประเทศ เช่น โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ และสเปน รอขอความช่วยเหลืออยู่ ทำให้ค่าเงินยูโรเริ่มเซซวน นักลงทุนรายใหญ่เริ่มไหวตัวทยอยขายเงินยูโร กลับไปซื้อเงินดอลลาร์ราคาถูกคืน ทำกำไรเอาไว้ก่อน

การขายเงินสกุลปลายทางแล้วกลับมาซื้อเงินดอลลาร์คืน เพื่อไปไถ่ถอนสัญญาเงินกู้ที่เคยยืมมาตอนทำธุรกรรม Dollar Carry Trade ถือเป็นการปิด (ย้อนคืน) สถานะสัญญาเงินกู้ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Dollar Carry Trade Unwinding

ลองนึกภาพดูว่า เงินยูโรจำนวนมหาศาลถูกเทขายเพื่อนำมาแลกซื้อเงินดอลลาร์คืน ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าทันที มันเป็นเหมือนสัญญาณนกหวีดในเกมเก้าอี้ดนตรี เมื่อทุกคนที่ตื่นตัวอยู่แล้วได้ยินสัญญาณนี้ ประกอบกับทุกคนได้กำไรกันพอสมควรแล้ว ไม่ว่าราคาหุ้น ราคาพันธบัตร รวมถึงค่าเงินสกุลปลายทาง สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือ แย่งชิงกันขายทรัพย์สินปลายทางเพื่อนำไปแลกเงินดอลลาร์คืนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด

เมื่อทุกคนทำพร้อมกัน มันก็เปรียบดั่งคลื่นสึนามิที่ถาโถมเข้าใส่ตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นถล่มทลาย ราคาพันธบัตรทรุดฮวบและค่าเงินสกุลท้องถิ่นอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ใครไหวตัวช้า ก็ขายไม่ได้ราคา แถมขาดทุนกำไรในค่าเงิน

ทองคำเป็นทรัพย์สินหนึ่งที่นักลงทุนกลุ่มนี้นำเงินจาก Dollar Carry Trade ไปลงทุนด้วย ราคาทองคำก็ต้องพบชะตากรรมเดียวกัน ยิ่งทองคำไม่มีเงินปันผลให้ชื่นใจ ไม่มีผลประกอบการให้ดู ราคาทองคำขึ้นด้วยเหตุผลเดียว คือ เป็นแหล่งพักเงิน (Safe Haven) ในช่วงที่เงินดอลลาร์ยังคงตกต่ำ เมื่อเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า คนจึงขายทองคำทำกำไร และกลับไปซื้อเงินดอลลาร์ราคาถูกกลับคืน

แล้วทำไมตลาดหุ้นจึงตกแรงมากๆ เฉพาะวันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2554 วันเดียว ดัชนีลดไปถึง 90 จุด หรือ 9.4% ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาติดลบ 54 จุด หรือ 5.6% รุนแรงกว่าภูมิภาคเดียวกันที่ลดลงประมาณ 2-3% คำตอบ คือ จังหวะของคนไทยไม่ดี เราเพิ่งได้รัฐบาลใหม่ในช่วงนี้พอดี เป็นธรรมดาที่รัฐบาลใหม่จะประโคมโหมข่าวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลดภาษีนิติบุคคล ลดราคาน้ำมัน ลดภาษีบ้าน ภาษีรถยนต์ รวมถึงการที่มีข่าวระบบ 3 G มากระตุ้นราคาหุ้นกลุ่มต่างๆ ทำให้ตลาดหุ้นไทยคึกคักและให้ผลตอบแทนสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้

ประกอบกับก่อนหน้านั้นไม่นาน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าตนมีแนวความคิดที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่าเพื่อใช้ต่อสู้กับเงินเฟ้อ ข่าวนี้กระตุ้นให้เงินบาทแข็งค่าแซงหน้าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค พร้อมกับได้สร้างความฮึกเหิมให้นักลงทุนไทย เพราะทุกครั้งที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้น เรามักเห็นเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเสมอ

แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ทั้งราคาหุ้นและค่าเงินบาทได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่หอมหวานที่สุด เมื่อมีสัญญาณการถอยทัพมาจากต่างแดน นักลงทุนต่างประเทศจึงพร้อมใจกันเทขายหนักๆ เพราะมีกำไรทุกราคา

จากต้นปี พ.. 2552 ตอนที่เริ่มมีการทยอยทำ Dollar Carry Trade ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ พอถึงต้นเดือนกันยายน พ.. 2554 เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ แข็งขึ้นมาราว 15% ดัชนีหุ้นไทย ณ ต้นปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 450 จุด เพิ่มมาเป็น 1,050 จุด ณ ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นถึง 130% ไม่ขายตอนนี้ ไม่รู้จะไปขายตอนไหน

โดย : บรรยง วิทยวีรศักดิ์

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

10 Things "Google" has found to be true

ตลาดหุ้นช่วงนี้เงียบๆครับ ข่าวดีกับข่าวร้ายก็สลับกันไป อเมริกาจะฟื้นก็ไม่ฟื้น ยุโรปจะแย่ก็แย่จริง (อ้าว) ผมเลยหาเรื่องอ่านหนังสืออย่างอื่นแทนครับ แล้วเผอิญไปเจอ บทความดีๆ ในหนังสือ Aday BULLETIN เล่มล่าสุดครับ ก็เลยขอเอามาแบ่งปันกับเพื่อนๆ ซะหน่อย ^ ^




ชื่อบทความ 10 Things "Google" has found to be true ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริหารของ Google เขียนไว้เมื่อ เกือบ 10 ปีก่อน ครับผม :>

1. ยึดผู้ใช้เป็นหลักแล้วอย่างอื่นจะตามมาเอง

2. ทำอะไรอย่างเดียวให้ดีจริงๆ นั่นแหละดีที่สุด

3. เร็วดีกว่าช้า (อืมจริงแฮะ แต่ของบางอย่างก็ช้าดีกว่านะครับ เช่น จะรักใครสักคน นั่นนอกเรื่อง :P)

4. ประชาธิปไตยบทอินเตอร์เน็ตนั้นได้ผลดี (สงสัยผู้บริหารจะไม่ค่อยรู้จัก เว็บไซต์ของไทยอันโด่งดังเช่น pan... redsi.. manag...นะครับ อิอิ แซวการเมืองหน่อยละกันนะ)

5. ไม่จำเป็นว่าคุณต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะจึงจะต้องการคำตอบ (หลายคน search web โดยไม่รู้ตัว เชื่อมะ ผมบางทีก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ สงสัยก็หาคำตอบซะ)

6. คุณสามารถหาเงินได้โดยไม่ต้องทำสิ่งไม่ดี (แปลกแต่จริงครับ ผมเห็นด้วย ไม่งั้น Google คงไม่รอด ยุค Dot com Bubble มาได้หรอกครับ)

7. ข้อมูลใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ

8. ผู้คนในทุกแห่งหนต้องการข้อมูลเหมือนกัน (เวลาลงทุน คุณต้องการข้อมูลเหมือนกัน แต่มากน้อยก็อีกเรื่องนะครับ)

9. เอาจริงเอาจังได้โดยไม่ต้องใส่สูท

10. ถึงจะดีมากก็ยังดีไม่พอ (มิน่า พี่แกอัพเดทบ่อย จิ๊งงงงงงงง)

จริงๆ ทุกข้อจะมีส่วนอธิบายนะครับ ^ ^ แต่ผมก็ไม่ไหวหรอกจะให้แกะมาทุกคำ ถ้าสนใจก็อ่านได้ใน Aday BULLETIN เล่มวันที่ 2 - 8 กันยายนครับ ส่วนตัวผมขอไปอ่านใน iPad ซะหน่อยฮะ เสียตังค์ถอยมา T T คุ้มค่า แต่หมดตัวเหมือนกัน แงๆ

ปล. จริงๆ มีโปรเจคจะเขียนถึงหุ้น Google มาซักพักแหละ แต่ข้อมูลไม่ครบเท่าไหร่ (ขี้เกียจแต่ไม่กล้าบอกตรงๆ :P ก็เลยขอติดเรื่องบริษัท GOOGLE ไว้ก่อนนะครับ ส่วนใครติดหุ้น ก็.... ตัวใครตัวมันฮะ ช่วงนี้ อิอิ)
ปลล. ลุ้นเด้งรีบาวนด์ได้ครับ อุ๊บส์!!

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นักวิเคราะห์สมคบคิด

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อัพเดท Facebook หรือ Blog เลยครับ ไม่ว่างจริงๆฮะ ต้องตั้งใจดู แมนฯยูฯ อิอิ
ไม่ใช่แหละ จริงๆ ก็แอบทำ project เล็กๆน้อยๆ (อีกแหละ)

อ่านหนังสือพิมพ์น้อยลงเหมือนกันครับช่วงนี้ ก็พยายามแหละ แต่มันไม่ได้จริงๆ ก็เลยอาศัยฟังให้มากขึ้น แล้วก็ไปเจอบทความอันนึงที่เขียนถึง นักวิเคราะห์ โบรกต่างชาติแห่งหนึ่ง บอกไม่ได้นะว่า ใคร อิอิ
มาจาก หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น ฉบับวันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2554 ครับ เขียนโดยคุณ วิษณะ โชลิตกุล
ชื่อบทความ "พลวัต ปี 2011"

นักวิเคราะห์สมคบคิด !!!!
นักวิเคราะห์หุ้นมีบุคลิกภาพแตกต่างกัน แม้ว่าสำนักคิดจะค่อนข้างคล้ายคลึงกัน โดยทั่วไปแล้ว มีคนแบ่งความถนัดของนักวิเคราะห์หุ้นหรือตลาดเก็งกำไรออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. พวกมองโลกในแง่ร้าย ถนัดแนะให้ขาย เห็นอะไรก็สงสัยในทางร้ายไว้ก่อน ข้อดีของคนเหล่านี้คือ ทำให้คนไม่เชื่อผู้บริหารหรือไม่หลงใหลไปกับการวิ่งของราคาหุ้นที่ผิดปกติ ทั้งหลาย แต่ข้อเสียคือ ชวนให้โลกเศร้าหมองมากกว่าปกติ
2. พวกถนัดแนะซื้อ เห็นอะไรก็ดีไปหมด มองโลกสดใสเสมอ ขนาดหุ้นเข้าเขตซื้อมากเกินไป ยังแนะนำให้ซื้ออีกก็ยังมี บอกว่ามีสตอรี่รออยู่เพียบ
3. นักวิเคราะห์โหนกระแส ไม้หลักปักเลน แต่ชอบอ้างว่าเป็นนักวิเคราะห์อิสระ แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง บางคนก็มีนิสัยประเภทขวางโลก  

นักวิเคราะห์ที่ไม่เข้าข่ายสามประเภทข้างต้น เป็นกลุ่มคนที่ชวนให้ตั้งคำถามเสมอ 
นักวิเคราะห์หุ้นคนหนึ่ง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แนะนำให้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งซึ่งมีราคาแพง บอกว่าราคาที่เป็นอยู่นั้น ยังต่ำเกินพื้นฐาน เพราะว่า จะเข้าไปซื้อกิจการต่างๆ อีกเพียบเพราะมีเงินสดในมือมากเหลือเกิน แต่พอมาถึงกลางปีคล้อยไปนิดเดียว กลับแนะนำว่า ต้องขายหุ้นตัวนี้ทิ้งไปเสีย เพราะที่ไปซื้อกิจการมานั้น ไม่เอาไหนเลย อนาคตไม่สดใสเอาเสียเลย แถมยังบอกว่า ราคาที่เป็นอยู่ที่ลงมาระเนระนาดยังแพงเกินไป ต้องมีถูกกว่านี้อีก 
ความไม่แน่นอนของการวิเคราะห์เช่นนี้ ถามว่า มันเป็นเพราะคุณภาพเลวของนักวิเคราะห์เองที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือเพราะเจตนาแฝงเร้นของนักวิเคราะห์ในแต่ละช่วงเวลา


คำตอบอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง หรือไม่เป็นทั้งสองอย่าง สิ่งที่ต้องพิจารณามากไปกว่าเรื่องของนักวิเคราะห์คนนั้นก็คือ ทำไมมีคนบางคนเชื่อคำพูดของคนเช่นนี้


คำตอบอยู่ที่เป้าหมายของผู้รับข้อมูลข่าวสารว่ามีคุณภาพแค่ไหนเป็นสำคัญ


นั่นทำให้ปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นประเด็นทำนองเดียวกันกับทฤษฎีสมคบคิดธรรมดานั่นเอง
เวลาพูดถึงทฤษฎีสมคบคิด เรามักจะคิดไปไกลว่า มันจะต้องเกิดขึ้นจากมีคนร่วมมือกันหลายคน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ มันเกิดจากการสร้างชุดความคิดที่กลับเหตุเป็นผล ผลเป็นเหตุเป็นสำคัญ และทำให้ผู้รับข้อมูลข่าวสารคิดตามไม่ทัน เพราะมีความรู้พื้นฐานที่เบี่ยงเบนจากมาตรฐานทางปัญญา
          กรรมวิธีการใช้ทฤษฎีสมคบคิด เกี่ยวข้องกับการสร้างหลักฐาน สร้างเหตุผล สร้างพยาน ทั้งด้านเอกสาร ด้านบุคคล ด้านสถานที่ จากนั้นก็นำมาผสมผสานกับจินตนาการของตน แล้วร้อยเรียงผูกเรื่องราวและเหตุผลหลักฐานต่างๆ  เข้าด้วยกัน ให้สอดคล้องสมเหตุสมผลให้น่าเชื่อถือมากที่สุด ใช้ระยะเวลาและกระบวนการในการปล่อยข่าว การลือ การโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อล้างสมอง จนถึงเวลาที่เหมาะสม


สิ่งที่พึงพิจารณาก็คือ ทฤษฎีสมคบคิดนั้นล้วนไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระ แต่มีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้นอื่นๆ เพื่อให้ประโยชน์/ให้โทษต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด หรืออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
            การใช้เหตุผลแบบกลับหัวเป็นเท้าของทฤษฎีสมคบคิด มีเป้าหมายหวังว่าผู้ที่รับข่าวสาร หรือรับรู้เรื่องราวนั้น จะใช้ข้อมูลที่ได้รับเป็นปัจจัยในการตัดสินใจที่จะดำเนินกิจกรรมทั้งด้าน ส่วนตัว ด้านสังคม องค์กรต่างๆ  รวมถึงการกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ และทิศทางของโลก มาเข้าทางหรือเข้าสู่แนวทางที่พวกเขาต้องการ เพื่อผลประโยชน์ในการหักล้างความน่าเชื่อถือของทฤษฎีเดิมหรือความเชื่อทาง จารีต  ค่าโง่ที่ผู้รับข่าวสารจ่ายให้กับผู้สร้างทฤษฎีสมคบคิด จึงเป็นค่าโง่ที่ไม่อาจจะโทษใครเขาอื่นได้ ต้องโทษตัวเราเองที่เชื่อเขา ไม่ตรวจสอบ ไม่ศึกษาปรึกษาพิจารณาให้ถ้วนถี่ ไร้เดียงสากับคนบางกลุ่มมากเกินขนาด
            ทฤษฎีสมคบคิดนั้น ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสีย ข้อดีก็มีอยู่บ้าง เพราะผลลัพธ์ของขบวนการที่ใช้ทฤษฎีสมคบคิดกันมากมาย ทำให้คนเราสามารถแบ่งแยกผู้คนบนโลกออกเป็นสองฝ่ายในด้านของข้อมูลข่าวสาร ฝ่ายแรกเชื่อว่าเป็นจริง อีกฝ่ายไม่เชื่อ นั่นไม่ใช่ความจริง
ถ้านักลงทุนทั้งหลาย เข้าใจคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่ว่า ในตลาดหุ้นนั้นมีพฤติกรรมประหลาดกว่าตลาดอื่น เพราะคนรวย (นักลงทุนทั้งหลาย) พากันไปอ้อนวอนหรือเชื่อถือยาจก (นักวิเคราะห์) ด้วยมายาคติว่า พวกยาจกจะทำให้เขารวยขึ้นกว่าเดิม นักลงทุนก็จะเข้าใจดีว่า บนข้ออ้างในเรื่องความเที่ยงธรรมของนักวิเคราะห์นั้น ได้มีทางออกหรือข้อป้องกันให้กับพวกเขาเองเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ


ปัญหาเรื่องทฤษฎีสมคบคิดของนักวิเคราะห์ที่ไม่น่าเชื่อถือก็จะไม่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นกรณีการทุบหุ้น BANPU และเครือ PTT ทั้งหมดอย่างไร้ความน่าเชื่อถือ
หรือแม้กระทั่งเรื่องวิวาทะเกี่ยวกับการสอบสวนคดีเมลสื่อรับเงินพรรคการ เมืองที่ตาลปัตรกลายเป็นกระบวนการป้ายสีพวกที่ตนไม่ชอบในนามของคุณธรรมทุศีล ที่กำลังอื้อฉาวในวงการสื่อยามนี้
 เครดิตกันอีกที หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น 29 สิงหาคม 2554 :พลวัตปี 2011 นักวิเคราะห์สมคบคิด

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 15 ส.ค. 2554

Daily View
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นตลอด 2 วันทำการที่ผ่านมา หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลต่อการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์วิกฤติหนี้ในยุโรป โดย CDS ของประเทศสหรัฐฯและยุโรปปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่เช้านี้ญี่ปุ่นได้รายงานตัวเลข GDP ไตรมาสสอง ชะลอตัวเพียงร้อยละ 1.3 ที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัร้อยละ 2.6 ซึ่งเราเชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวจะช่วยผ่อนความวิตกต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้พอสมควรและสนับสนุนการรีบาวด์ของตลาดหุ้นในระยะสั้น
สำหรับแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอลงแต่เราเชื่อว่าแรงขายดังกล่าวยังคงมีอยู่ซึ่งจะกดดันการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น โดยปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติมีกำไรจากตลาดหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่ 5.5% (ลดลงจาก 14.5%) ซึ่งเราเชื่อว่าตลาดจะเคลือนไหวแกว่งตัวออกด้านข้าง ก่อนจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 หรือต้นไตรมาสที่ 4 โดย downside ก็ยังคาดว่ามีจำกัดเนื่องจาก 1) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่ง 2) เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวในระดับที่ดี 3) ราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในเอเชีย และ 4) กองทุนในประเทศจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อ เนื่องจากการเข้าซื้อกองทุน LTF โดยเราให้ Downside ของ SET index ไว้ที่ 1010 จุด
ขณะที่มุมมองในระยะกลางของเรายังเป้นบวก และมองการปรับฐานเป็นโอกาสในการสะสมซื้อ เนื่องจาก 1) เราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าปี 2551 เนื่องจากสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับช่วง subprime 2) ปัญหาหนี้ในยุโรป โดยเฉพาะในอิตาลีและสเปน สุดท้ายจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF และ EU 3) แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง หรือต้นปีหน้า  หลังจากราคาน้ำมันปรับลดลงมาอย่างรุนแรง ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียก็แข็งแกร่งกว่าประเทศพัฒนามาก และ 4) การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำของสหรัฐฯ ถึงกลางปี 2556 จะนำไปสู่การทำ Dollar carry trade ในที่สุด โดยเราคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด โดยมองว่าหุ้นในกลุ่ม domestic play จะ outperform ตลาดโดยภาพรวม
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  การ rebound รอบนี้อาจขึ้นมาได้ในกรอบจำกัด ดังนั้นยังเก็งกำไรในวงเงินจำกัดไปก่อน โดยเน้นเก็งกำไรหุ้นในกลุ่ม domestic play เป็นหลัก เนื่องจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่มีมากขึ้น ขณะที่การบริโภคในประเทศยังมีแนวโน้มสดใสจากนโยบายของภาครัฐ
1) หุ้นในกลุ่มผู้ประกอบการบ้าน เพราะการที่ Fed ตรึ่งอัตราดอกเบี้ยไปอีก 2 ปี และราคาน้ำมันที่ลดลง อาจทำให้มีการคาดหมายว่าอัตราดอกเบี้ยไทยใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มผู้ประกอบการบ้าน นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มนี้นักวิเคราะห์เราคาดการณ์ว่ากำไรจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ แนะนำ SPALI AP LPN LH และ PS
2) หุ้นที่มี P/E ถูก ผลประกอบการคาดว่าจะออกมาดี และได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่นหุ้นกลุ่ม ICT ADVANC DTAC LOXELY AIT SAMTEL SAMART กลุ่มผุ้ประกอบการบ้าน LH AP SPALI กลุ่มสื่อ RS MAJOR MCOT กลุ่มประกัน BLA กลุ่ม commercial CPN กลุ่มพาณิชย์ HMPRO BIGC CPALL
3) หุ้นที่มักมีการเก็งกำไรก่อนการประกาศจ่ายปันผลเช่น CPF TVO GRAMMY TCAP และ MCOT
อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย
กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้ทยอยสะสม

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Dividend Payment

หลังจากบริษัทจดทะเบียนประกาศ ผลประกอบการไตรมาส 2 ก็จะสะท้อนแล้วครับว่า
1. ผลประกอบการของครึ่งปีที่ผ่านมาว่าดีหรือไม่? ถ้าแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ไม่ว่าจะเป็น เหตุจากฤดูกาล หรือความผิดปกติในบริษัทฯ ก็จะทำให้ผู้ถือหุ้นเริ่มเกิดความสงสัยได้ครับ วิธีการแก้ไขก็เช่นออกมาชี้แจงแถลงไขกันไป อิอิ หรือไม่ก็พยายามเร่งเครื่องทำฝีมือกันในครึ่งปีหลังครับ คราวนี้แหละจะได้เห็นฝีมือของ Management Team ซะหน่อย
2. ถ้าออกมาดีละ อิอิ มันก็ต้องตอบแทนคนที่เชื่อถือเป็นผู้ถือหุ้นกันบ้างซิ
ผู้ถือหุ้นหรือในชื่อเล่นในภาษาอังกฤษคือ Residual Claim(แปลว่า ผู้มีสิทธิคนสุดท้ายในของที่เหลืออยู่) ถ้าแปลแบบร้ายๆหน่อยก็ "ลูกเมียน้อย"อ่ะครับ ได้ของทีหลังสุด หึหึ ละครชัดๆ

เพราะผู้ถือหุ้นบางบริษัท อิ่มหมีพีมัน กว่าเจ้าหนี้เยอะครับ 5555 ก็แน่นอน เพราะผู้ถือหุ้นย่อมได้ถือเอาความเสี่ยงที่มากกว่าเจ้าหนี้นี่หน่า

แล้วอย่างนี้บริษัทที่น่ารักจะทำอย่างไรได้ล่ะ? ก็ต้องจ่ายปันผลซิครับ
เกริ่นมาซะยืดยาว จริงๆ ก็แค่จะเอาบริษัทจดทะเบียนที่จ่ายผลประกอบการเฉพาะกาล มาให้ผู้อ่านได้ตัดสินใจนั่นแหละครับ

ปล. ถือว่าผมเอาข้อมูลจริงๆมาลงละกันนะครับ ชอบตัวไหนก็ลองเอาไปศึกษากันได้ครับ เพราะองค์ประกอบก็มีอีกพอสมควร แต่ให้ช่วยตัดสนิกันง่ายๆนะครับ "ตราบใดที่บริษัทจ่ายปันผลออกมา เมื่อคำนวณเป็น Div Yield แล้วมากกว่า ดอกเบี้ยเงินฝาก เมื่อนั้น หุ้นตัวนั่นก็ยังมีเสน่ห์อยู่ในตัวของมันอยู่ครับ" :)

ขอให้เพื่อนๆ ที่ได้มาอ่านบทวิเคราะห์ได้เจอหุ้นที่โดนใจกันนะครับ

ข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2554 ครับ :)



ที่มา : หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน), www.settrade.com