วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ได้เวลาจ้องมองผลกำไรของบริษัท อีกครั้ง ตอนที่ 1 ตลาดอเมริกา

คัดลอกและดัดแปลงจาก หนังสือพิมพ์"ข่าวหุ้น" ฉบับประจำวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ถึงเวลาจ้อง “ผลกำไรบริษัท” กันอีกครั้ง 
















     

สำหรับนักลงทุนมือใหม่แล้ว อาจจะยังไม่ทราบกันว่า ผลประกอบการของบริษัทใน 1 ปี จะมีด้วยกันเป็น 4 ไตรมาส นั่นก็คือ ไตรมาส 1 คือเดือน มกราคม- มีนาคม และจะประกาศผลประกอบการใน เดือนเมษายน ที่ผ่านมาเป็นต้น นี่คือธรรมเนียมของปีการเงินที่ตรงกับปีปฎิทิน

ถามว่ามีบริษัทอื่น ที่ไม่เป็นไปตามทำนองนี้หรือไม่? คำตอบคือ มีครับ เช่น บริษัทน้ำตาล KSL, KBS เพราะเป็นช่วงน้ำตาลเข้าหีบจะเป็นช่วงที่ไม่สอดคล้องกับ การบันทึกรายได้ของบริษัทฯนัก จึงทำให้บริษัทฯ เลือกที่จะประกาศผลประกอบการในเดือน มิถุนายน

เพราะฉะนั้นขอสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถ้าบริษัททั่วไปคิดปีการเงินตรงกับปีปฏิทิน เราจะได้เห็นผลประกอบการในไตรมาส 1 -4 เป็นดังนี้ครับ เดือน เมษายน (1) เดือนกรกฎาคม (2) เดือนตุลาคม (3) และเดือนมกราคมของปีหน้า (4) โดยที่อาจจะมีการผ่อนปรนระยะเวลาในการทำบัญชี ภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ก็ไม่น่าจะเกิน 1 เดือน (นอกจากทำเรื่องขออนุญาตกับ ตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็จะมีระยะเวลาที่กำหนดอยู่)

ที่จั่วหัวเรื่องนี้ก็เพราะว่า เดือนหน้าก็เป็นเดือนกรกฎาแล้วครับ หลังจากที่เดือนมิถุนา กำลังจะผ่านพ้นไปก็มีข้อสังเกตว่าผลประกอบการต่างๆ จะออกมาดีมั้ย เพราะต้องเจอปัญหาต่างๆ นานา เช่น เรื่องปัญหาสึนามิของญี่ปุ่นที่จะเข้ามาเต็มตัว และปัจจัยระยะสั้นของเดือนนี้ คือ ปัญหาเรื่องหนี้กรีซ(จริงๆ เป็นปัญหาข้ามปี แต่มันมารุนแรงอีกครั้งในเดือนนี้ครับ) และการยุติ QE2 ของเฟด อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าถึงช่วงเดือนหน้าแล้ว นักลงทุนก็จะให้น้ำหนักกับ 2 ปัจจัยข้างบนน้อยลงไป เพราะจะได้เวลาที่นักลงทุนจะมาดูกำไรของบริษัทในช่วงไตรมาสสองจะเป็นอย่างไร?

Blogger จะขอนำคำพูดของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (ของสหรัฐ)มามอง แล้วจะวิเคราะห์ของไทย ตามลำดับ (ต้องขออนุญาตยกไปไว้ตอนที่ 2 ครับ) ดังนี้นะครับ ผู้บริหาร FedEx รายงานว่ากำไรและยอดขายในช่วงไตรมาสที่ 4 (สิ้นสุดเดือน พค) ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด และแนวโน้มก็จะดีไปด้วย ซึ่งทำให้หุ้น FedEx พุ่งขึ้น 3% และหุ้น UPS ซึ่งเป็นคู่แข่งปรับตัวขึ้น 1% ไปด้วย หุ้น Chainsupermarket ก็ประมาณการกำไรอย่างแข็งแกร่งในช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา
"โดยรวมแล้ว คาดว่า กำไรในช่วงไตรมาสสองจะค่อนข้างแข็งแกร่ง"
กำไรของบริษัทที่มีน้ำหนักในดัชนี S&P จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14% และยอดขายจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% นั่นถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะมันชี้ว่า บริษัทกำลังทำเงินอีกครั้งเพราะมีดีมานด์ต่อสินค้าและบริการ ของพวกเขาอย่างแท้จริง ซึ่งตรงข้ามกับการลดต้นทุน เพื่อรักษาส่วนต่างกำไร 

แต่ภาคการเงินเป็นข้อยกเว้นสำหรับกฎข้อนี้ (ขอเน้นว่านี้ยังเป็น view ของตลาดหุ้น US)
โดยคาดว่า การเติบโตของรายได้ในภาคการเงิน จะลดลงมากที่สุดในบรรดา 10 ภาค
เมื่อมองไปยังตลาดที่เหลือ  การดีดตัวของราคาโภคภัณฑ์ กำลังช่วยให้กำไรโดยรวมสูงขึ้น และคาดว่า บริษัทพลังงานและวัสดุจะมีระดับการเติบโตปีต่อปีที่แข็งแกร่งที่สุด  ส่วนภาคสุุขภาพและสาธารณูปโภคซึ่งเป็นภาคเดียวที่คาดว่าจะมีกำไรลดลง เป็นภาคที่ล้าหลังอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ดี ยังคงมีหลายๆ เหตุผลที่น่ากังวลอยู่  และดูเหมือนว่า  จะมีความไม่สอดคล้องกันระหว่างประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเลวร้ายลง กับ ประมาณการกำไรซึ่งดีขึ้น ซึ่งมีทั้งนักวิเคราะห์ที่มีมุมมองเป็นบวก และมุมมองที่เป็นลบ ต้องสิ่งที่เกิดขึ้น

เช่นนักวิเคราะห์ของแฟกซ์เซ็ต ออกมาบอกว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาทำให้คิดว่าตัวเลขกำไรจะลดลงสำหรับช่วงไตรมาส 3และ 4 แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น  CEO หลายคนได้พูดถึงสิ่งที่ดีๆ เกี่ยวกับบริษัทของพวกเขา แต่ไม่ได้สนับสนุนความเชื่อมั่นนี้ด้วยการจ้างงานเพิ่ม นั่นคือปัญหา


ในขณะที่หัวหน้าฝ่ายธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯ ก็บอกมากล่าวว่า หลายๆ บริษัทรู้สึกเป็นลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม แต่ก็ยังคงมองธุรกิจของตนเองในด้านบวก   นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าประมาณการกำไรโดยรวมสูงเกินไป


โดยได้ทำการเปรียบเทียบผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่า หากไฟไหม้บ้านที่อยู่ถัดไปจากบ้านคุณ คุณจะรู้สึกเชื่อมั่นโดยนั่งอยู่เฉยๆ เพราะในขณะนี้ไฟยังไม่ได้ไหม้บ้านคุณอย่างนั้นหรือ ?

ซึ่งก็มีบางบริษัทที่ออกมาปรับลดประมาณการเมื่อต้นเดือน เช่น บริษัท TEXAS Instrument เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ยอดขายในยุโรปซบเซา ผลกระทบของแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น เพราะเป็นที่ทราบกันว่า ธุรกิจการค้าของสหรัฐ กับ ญี่ปุ่น มีความเกี่ยวเนื่องกัน อย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่า ส่วนต่างกำไรล่าสุด มีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ    มันจึงเป็นไปได้ว่า ส่วนต่างกำไรได้พุ่งสูงสุดแล้ว และอาจจะไปไหนไม่ได้อีก  นอกจากต้องปรับตัวลง  
ซึ่งก็มีนักวิเคราะห์ได้ออกมากล่าวถึงเช่นกันว่า ส่วนต่างกำไรของบริษัทใกล้สูงเป็นประวัติการณ์แล้ว คำถามคือ มันจะประคับประคองต่อไปได้หรือไม่ และในขณะที่ตลาดมีกำลังใจมากเมื่อหลายๆ บริษัทเตรียมจะรายงานผลกำไร แต่ก็ยังต้องให้นักลงทุนระมัดระวังอยุ่เช่นกัน


Blogger จะพยายาม อัพเดทผลประกอบการของบริษัท รวมถึงอัพเดทวันที่บริษัทจะประกาศทั้งในสหรัฐ และในไทย แล้วถ้ามี Consensus ก็จะรายงานให้ทุกท่านทราบนะครับ :)

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 29 มิ.ย. 2554

Daily View

สิ่งที่เกิดขึ้นรอบวัน
1.  ดัชนี DJ ปิดเพิ่มขึ้น 145.13 จุด หรือ 1.21% ปิดที่ 12,188.69 จุด
     ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 16.57 จุด หรือ 1.29% ปิดที่ 1,296.67 จุด
     และดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้น 41.03 จุด หรือ 1.53% ปิดที่ 2,729.31 จุด
เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า  
1.1 รัฐสภากรีซจะผ่านร่างมาตรการรัดเข็มขัดระยะ 5 ปี
1.2 ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนหลังจาก S&P Case&Chillers รายงานว่า ดัชนีราคาบ้านใน 20 เขตเมืองของสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนเม.ย. สูงกว่าที่ตลาดวอลล์สตรีทคาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.3% และเป็นการปรับตัวขึ้นรายเดือนเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้น
1.3 แม้ว่าคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดรายงานว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.ของสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 58.5 จุด จากระดับ 61.7 จุดของเดือนพ.ค. เนื่องจากผู้บริโภคยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้า

2. สัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น USD3.80 มาปิดที่ระดับ USD1,500.20   ได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร ทำให้ทองคำกลับมาปิดบวกได้เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ

3. ราคาน้ำมัน Nymex ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น USD2.28/bbl ปิดที่ USD92.89/bbl เนื่องจากนักลงทุนขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่ารัฐสภากรีซจะผ่านร่างมาตรการรัดเข็มขัดระยะ 5 ปี เพื่อปูทางสู่การรับเงินช่วยเหลืองวดใหม่จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐจะปรับตัวลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการพลังงานในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง

4.ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคมปรับตัวลดลง 1.3% จากปีก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นระดับที่ร่วงลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

5. นายกฯ ญี่ปุ่น เผยพร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่ง หลังรัฐสภาอนุมัติงบประมาณพิเศษชุดที่ 2 สำหรับปีงบประมาณ 2554 โดยพรบ.งบประมาณดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการออกพันธบัตรเพื่อลดยอดขาดดุลและพรบ.ยังจะช่วยส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้

Strategy

นักลงทุนมั่นใจมากขึ้นกับสถานการณ์ในประเทศกรีซว่ารัฐบาลจะสามารถผ่านมาตรการรัดเข็มขัดได้ และยังได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขราคาบ้านสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในวันนี้ นอกจากนั้นในช่วงท้ายสัปดาห์เรายังเชื่อว่าตลาดจะยังคงมีแรงเก็งกำไรจากเรื่องการทำ window dressing โดยเฉพาะมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางจะทำให้การทำ window dressing ทำได้ง่ายขึ้น และการปรับตัวขึ้นอาจต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์หน้าหลังเลือกตั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดรับรู้เรื่องในเชิงลบต่อปัจจัยการเมืองไปมากแล้ว ความชัดเจนที่มากขึ้นหลังเลือกตั้ง อาจทำให้เกิดแรงเก็งกำไรกลับขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ตามเราเรายังมองว่าช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานลงได้อีกและต่ำกว่าระดับ 1000 จุด (downside risk อยู่ที่ 970 จุด) จากการหมดลงของ QE2 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นในช่วงนี้ทำได้เพียงการเก็งกำไรเท่านั้น แต่เราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น และหากมองในแง่บวกการที่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มลดลงในช่วงนี้ จะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3
คงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: การเก็งกำไรระยะสั้นที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ยังคงเป็นการเก็งกำไรในตลาดขาลงระยะกลาง โดยในสัปดาห์นี้ยังคงกลยุทธ์เดิม คือเก็งกำไรได้จนถึงต้นสัปดาห์หน้า  จากการเก็งกำไรเรื่อง window dressing และปัจจัยด้านการเมือง โดยแนะนำให้เก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ที่อาจเป็นเป้าหมายในการทำ window dressing เช่น KTB SCB BBL TOP SPALI LPN เป็นต้น นอกจากนี้เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาสที่ 2 ออกมาดี และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล เช่น TUF CPF เป็นต้น หรือเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม domestic play เช่น กลุ่มพาณิชย์ (CPALL ROBINS GLOBAL) กลุ่มบันเทิง (MAJOR MCOT)

หุ้นแนะนำวันนี้:  KTB TUF
กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น โดยเราเชื่อว่า stagflation หรือ Double dip ที่กังวลกันยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงช่วงนี้ เป็นผลเพียงแค่ระยะสั้น จากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

ที่มา: บล. กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

หุ้นที่ Blogger ขอแนะนำให้จับตามอง
1. เล่นระยะสั้น ลุ้นรีบาวนด์ของกลุ่มธนาคารได้ เนื่องจาก ต่างชาติเทขายออกมาสูงมาก กลุ่มพลังงาน: PTT ปรับตัวลดลงมาแรงเนื่องจากการที่ตลาดกังวลเรื่อง ท่อก๊าซที่รั่วออกมา แต่จากการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์แล้ว น่าจะส่งผลเชิงลบในระยะสั้น ตลาดรับรู้แง่ร้ายแรงเกินไป เพราะ PTT ก็มีการทำประกันชดเชยเอาไว้อยู่ และถ้าผลิตไม่ได้ก็น่าจะส่งผลกระทบแค่ 60 วันซึ่งจะทำให้กำไรของ PTT หายไป 0.6% ของการคาดการณ์
2. เล่นระยะยาว กลุ่ม พาณิชย์ เนื่องจากการปรับตัวย่อตามฤดูกาล เช่น CPALL, ROBINS, HMPRO
กลุ่มธนาคาร KBANK,SCB,BBL และ KTB โดยที่ BBL มีสัดส่วนการปรับย่อตัวลงมาสูงที่สุด

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 28 มิ.ย. 2554

ออกตัวก่อนนะครับว่าวันนี้จะพยายามอัพทั้ง คอมเม้นท์ ส่วนตัวของ Blogger (จะเขียนไว้ว่า Blogger คิด) บทวิเคราะห์จาก บล. กสิกรไทย, บทวิเคราะห์จาก บล. กิมเอ็ง นะครับ แต่จะดัดแปลงให้กระชับและเข้าใจง่ายครับผม (ทั้งหมดที่ทำ น่าจะใช้เวลานานพอสมควร -0- )

Strategy

นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้กรีซ หลังจากมีรายงานว่าธนาคารฝรั่งเศสจะซื้อพันธบัตรชุดใหม่ของรัฐบาลกรีซ ขณะที่ประเทศจีนก็ประกาศพร้อมสนับสนุนพันธบัตรของยุโรป นอกจากนี้ตลาดยังได้รับผลบวกจากรายได้ส่วนบุคคลของสหรัฐฯ เดือนพ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคขยับลงเพียง 0.1% ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในวันนี้ นอกจากนั้นในช่วงท้ายสัปดาห์อาจมีแรงเก็งกำไรจากเรื่องการทำ window dressing โดยเฉพาะมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางจะทำให้การทำ window dressing ทำได้ง่ายขึ้น และการปรับตัวขึ้นอาจต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์หน้าหลังเลือกตั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดรับรู้เรื่องในเชิงลบต่อปัจจัยการเมืองไปมากแล้ว ความชัดเจนที่มากขึ้นหลังเลือกตั้ง อาจทำให้เกิดแรงเก็งกำไรกลับขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ตามเราเรายังมองว่าช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานลงได้อีกและต่ำกว่าระดับ 1000 จุด (downside risk อยู่ที่ 970 จุด) จากการหมดลงของ QE2 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่เราเชื่อว่าเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น และหากมองในแง่บวกการที่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มลดลงในช่วงนี้ จะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: การเก็งกำไรระยะสั้นที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ยังคงเป็นการเก็งกำไรในตลาดขาลงระยะกลาง โดยในสัปดาห์นี้ยังคงกลยุทธ์เดิม คือตลาดลงต้นสัปดาห์เป็นโอกาสซื้อเก็งกำไร และขายทำกำไรช่วงท้ายสัปดาห์หรือต้นสัปดาห์หน้า  จากการเก็งกำไรเรื่อง window dressing และปัจจัยด้านการเมือง โดยแนะนำให้เก็งกำไรหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง หรือราคาน้ำมันที่ลดลง ประกอบกับคาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาสที่ 2 ออกมาดี และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล เช่น TUF CPF SPALI LPN เป็นต้น หรือเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม domestic play เช่นกลุ่มธนาคาร (KTB BBL SCB) กลุ่มพาณิชย์ (CPALL ROBINS GLOBAL) กลุ่มบันเทิง (MAJOR MCOT)
หุ้นแนะนำวันนี้:  CPF SPALI

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น โดยเราเชื่อว่า stagflation หรือ Double dip ที่กังวลกันยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงช่วงนี้ เป็นผลเพียงแค่ระยะสั้น จากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

Daily Trading

Today Action: ฺฺ์ฺีั์None

Outstanding Port:  TUF (cut loss below 45.00) CPF (cut loss if price below 27.75) KTB (cut loss if price below 16.8)

Yesterday review: Take profit MAJOR at 15.3 Cut loss KBS at 12.2 Cut loss PTT at 328
ที่มา: บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

จะขออัพเดทบทวิเคราะห์ และสิ่งที่ต้องจับตา นะครับ ขออนุญาตไปทำธุระก่อนอ่ะครับ > <

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 27 มิ.ย. 2554

A week before Election

Daily Views 

หนึ่งสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง คาดว่า

1. ตลาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ sideway ด้วยมูลค่าซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากความไม่มั่นใจสถานการณ์ทางการเมืองหลังเลือกตั้ง และวันหยุดยาวของไทย ในวันศุกร์ที่ 1 ก.ค. และวันจันทร์ที่ 4 ก.ค. เป็นวันหยุดยาวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
2.ในช่วงต้นสัปดาห์ตลาดอาจได้รับผลกระทบในเชิงลบจากการที่ธนาคารอิตาลีถูกมูดีส์ประกาศลดอันดับเครดิต

อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายสัปดาห์อาจมีแรงเก็งกำไรจากเรื่องการทำ window dressing โดยเฉพาะมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางจะทำให้การทำ window dressing ทำได้ง่ายขึ้น และการปรับตัวขึ้นอาจต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์หน้าหลังเลือกตั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดรับรู้เรื่องในเชิงลบต่อปัจจัยการเมืองไปมากแล้ว ความชัดเจนที่มากขึ้นหลังเลือกตั้ง อาจทำให้เกิดแรงเก็งกำไรกลับขึ้นมาใหม่

อย่างไรก็ตามเราเรายังมองว่าช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานลงได้อีกและต่ำกว่าระดับ 1000 จุด (downside risk อยู่ที่ 970 จุด) จากการหมดลงของ QE2 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่เราเชื่อว่าเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น และหากมองในแง่บวกการที่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มลดลงในช่วงนี้ จะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคง

เป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด
Strategy
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: การเก็งกำไรระยะสั้นที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ยังคงเป็นการเก็งกำไรในตลาดขาลงระยะกลาง โดยในสัปดาห์นี้ยังคงกลยุทธ์เดิม คือ
1. ตลาดลงต้นสัปดาห์เป็นโอกาสซื้อเก็งกำไร และขายทำกำไรช่วงท้ายสัปดาห์หรือต้นสัปดาห์หน้า 
2. การเก็งกำไรเรื่อง window dressing และปัจจัยด้านการเมือง โดยการปรับลดลงของราคาน้ำมัน

หุ้นที่จะได้รับผลดีคือ หุ้นในกลุ่ม domestic play
1. เช่นกลุ่มธนาคาร (KTB BBL SCB)
2. กลุ่มอสังหาฯ (SPALI  LPN) 
3. กลุ่มพาณิชย์ (CPALL ROBINS GLOBAL)
4. กลุ่มบันเทิง (MAJOR MCOT)
5. กลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง (SVI TUF CPF)
หุ้นแนะนำวันนี้ (ของบริษัทหลักทรัพย์):  KTB TOP

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น โดยเราเชื่อว่า stagflation หรือ Double dip ที่กังวลกันยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงช่วงนี้ เป็นผลเพียงแค่ระยะสั้น จากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

ที่มา: บล. กสิกรไทย จำกัด(มหาชน)

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

10 Highest Grossing Superhero Movie Franchises

    บทความนี้ขอเว้นวรรคและพักสมอง เสียน้อยครับ วันหยุดทั้งที จริงๆแล้ววันหยุดผมชอบไปดูหนังนะครับ แต่พอมาทำงานด้านการลงทุนด้านหลักทรัพย์ แล้วก็เริ่มห่างเหินจากโรงภาพยนตร์เหลือเกิน (หลังจากขายหมู หุ้น MAJOR ไป T_T) ภาพยนตร์ที่ชอบๆ ก็มีหลายแนวครับ เช่นแนว Comedy, Action Sci-Fi ครับ แต่บทความนี้ขอนำ ภาพยนตร์แนว SuperHero มานำเสนอละกันนะครับ คัดเน้นๆ มา 10 เรื่อง (เพราะเรื่องที่ 11 ไม่มีข้อมูลฮะ - -")
ภาพยนตร์แนว Superhero ภาคต่อที่สร้างรายได้เป็นจำนวนมากให้กับผู้จัด ถ้าในเมืองไทยก็คงไม่มีใครเกิน บ้านทรายทอง, นางนาค (อิอิ)  ต้องอินทรีแดง ซิ เมพเหลือเกิน เมพขิงๆ เยย หุหุ แต่ตอนนี้ขอแนะนำไปทีหนังที่ออกฉายใน Hollywood ที่สร้างรายได้และชื่อเสียง (และชื่อเสีย) ให้กับผู้จัดนะครับ โดยภาพยนตร์หลายเรื่อง เมื่อเห็นก็ต้องร้องอ๋อ (ใครวะ) เพราะดัดแปลงมาจาก วิดีโอเกม และ หนังสือการ์ตูน ชื่อดัง แล้วนำมาฉายสู่ จอใหญ่นั่นเองครับ
ข้อมูลเอามาจาก BoxOfficeMojo.com, เว็บไซต์ลูกของ IMDB ครับ และสรรหามาจาก www.CNBC.com ครับ และให้เสียง (พิมพ์) เป็นภาษาไทยโดย Bankiez เองครับ อิอิ
ปล. ส่วนใหญ่หนังแนว Superhero ที่ปรากฎนี้จะมาจากค่าย Marvel นะครับ ของเขาแรงจริง หุหุ (รายได้ขอแสดงเป็น US$ ตามเว็บที่เก็บข้อมูลนะครับ ถ้าใครอยากรู้ราคาเป็นไทยก็เอา 30.53 บาท ราคา ณ วันที่ 21 มิ.ย. 54 คูณเอานะครับ อิอิ)
 
10. Hellboy                                                                                          Total: $135.6 million

ฮีโร่พันธุ์นรก (ถ้าแปลชื่อหนังเป็นไทยก็คือ เด็กนรก O_o แปลง่ายเชียว) ออกฉายมาแล้ว 2 ภาค สร้างรายได้ให้กับผู้สร้างซะตัวอ้วน (แดง) ได้ดีทีเดียวครับ เป็นบทละครจากค่าย Dark Horse Comics นั่นเองครับผม 
(อย่าถามผมนะว่าคือ ค่ายอะไร เพราะผมก็มะรู้จักเหมือนกัน ><)
ปล. ขอบอกความโง่ของ Blogger นิดนึงครับ เคยนึกว่าเรื่องนี้ชื่อ Hell Blue Boy น้ำเชื่อมลอยมาเชียว -0-
Hellboy II: The Golden Army (7/11/08): $75.9 million
Hellboy (4/2/04): $59.6 million 

9. Blade                                                                       Total: $204.9 million
 
นักล่าพันธุ์อมตะ ถ้าใครทันดูจะหลงรัก แวมไพร์หนุ่มรูปงามนามว่า Edward (นั่นมันเรื่อง twilight แล้ว) ครับ ใครติดใจในลีลาควงดาบเท่ๆ ค่อยตามล่าอสูรกาย ของ Blade ชื่อเดียวกับชื่อหนังฮะ ช่างคิดเหลือเกินนะคนสร้าง! เดี๋ยวให้มาอยู่เมืองไทยซะนี่จะได้รู้ว่า ชื่อภาพยนตร์ของไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก หุหุ  อ๋อ หนังเรื่องนี้มาจากบทการ์ตูนของ Marvel นะครับ
ปล เป็นที่น่าแปลกใจนะครับที่ ภาค 2 สร้างกำไรได้มากกว่าภาคแรกอีก (แสดงว่า มันน่าจะสนุกขึ้น) แต่ภาคสุดท้ายกับรายได้น้อยสุด เอ่อ จะว่าไงดีหว่า สรุปมันสนุกขึ้นมั้ยเนี่ย
Blade II (3/22/02): $82.4 million
Blade (8/21/98): $70.1 million
Blade: Trinity (12/8/04): $52.4 million 


8. Teenage Mutant Ninja Turtles                          Total: $256.2 million
 
นินจาเต่า นั่นเองครับ มีหลายตัวเหลือเกิน เคยสงสัยนะครับว่า ถ้าผ้าคาดสีมันหายเนี่ย พวกเดียวกันเองจะจำกันได้มั้ยว่าใครชื่ออะไร - -“  พี่นินจาเต่าเราสร้างมาแล้ว 3 ภาคครับผม (ตั้งแต่ Blogger ยังไม่เกิดเยย :p ทำตัวแอ๊บเด็ก อิอิ)
ผลงานการสร้างโดย  Mirage Studios
Teenage Mutant Ninja Turtles (3/30/90): $135.2 million
Teenage Mutant Ninja Turtles II (3/22/91): $78.7 million
Teenage Mutant Ninja Turtles III (3/19/93): $42.3 million

 
7. The Hulk                                                                     Total: $266.9 million
Hulk นะค่ะ คนดีของฉัน :> อิอิ ถ้าโดน Hulk มีหวังคง ดั้งหักอ่ะครับ อย่าไปทำพี่เขียวเราโกรธ เลยจะดีกว่า หุหุ แต่มาดูรายได้ของทั้ง 2 ภาคก็ไม่ต่างกันมากนะครับ (ถ้าไม่เอา การ compound interest + inflation + convert exchange เริ่มเป็น Finance เข้ากับ Blog ขึ้นเรื่อยๆ อิอิ)
ผลงานการสร้างก็โดย เฮีย Marvel เจ้าเก่านะครับผม


 
The Incredible Hulk (6/13/08): $134.8 million Hulk (6/20/03): $132.2 million 



6. Fantastic Four                                                        Total: $286.6 million
เรื่องราวของ 4 อรหันต์ นั่นเอง อิอิ ต้องขอบอกว่า ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าได้ดูภาค 2 รึเปล่า - -'' เหมือนจะได้ดูแต่ก็ไม่ค่อยคุ้นแฮะ ใครจะว่ายังไงไม่รู้นะครับ แต่ถ้าได้เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นมนุษย์ยาง แล้วยืดได้ นี่ก่อน.... อิอิ เหมือน....... ลูฟี่ จากการ์ตูนเรื่องวันพีช ไงครับ (อย่าคิดเยอะๆ) ด้วยพลังพิเศษของ SuperHero แต่ละตัวก็เป็นที่น่าสังเกตนะครับ ว่าทำไม มันถึงได้เท่อย่างนี้ สร้างมา 2 ภาค ผลตอบรับได้ด้านรายได้ก็ถือว่าดีนะครับ (เกิน 100 ล้าน ทั้ง 2 เรื่องเลย) แน่นอนครับ
ค่าย Marvel ส่งเข้าประกวดเช่นเคยฮะ


Fantastic Four (7/8/05): $154.6million
Fantastic Four: Silver Surfer (6/15/07): $132 million




5. Superman                                              Total: $518.1 million

พ่อหนุ่ม Clark kent ที่มาจากดาวอันไกลโพ้น ต้องมาแปลงร่างเป็น Superhero จากตู้โทรศัพท์ พร้อมทั้งบอกให้คนทั่วโลกรู้หมดเยย ว่าใส่ กางเกงใน สีอะไร >//< แหมพี่ สุดยอดจริงๆ Blogger ก็ชอบ Superhero ตัวนี้ตั้งแต่เด็กแล้วฮะ พร้อมทั้งได้ สัจจธรรมในชีวิตว่า ต่อให้ชนะ คนทั่วโลกแต่ก็แพ้ให้กับเธอ เอ๊ย แพ้ให้กับแร่ ที่ชื่อ "Kryptonite" แนวดีพี่ อิอิ
ปล. Superman ถ้าใครที่เป็นแฟนติดตาม หรือได้ยินเรื่องเล่าก็จะรู้ว่า เป็นหนังต้องคำสาป เรื่องนึงเลยทีเดียว เพราะแม้จะมีชื่อเสียงเยอะ แต่ หาคนที่จะมาแสดงเป็น Superman ได้ยาก (ลือว่า เพราะนักเขียนการ์ตูน สาปแช่งไว้ ไม่รู้ว่าเผาพริกเผาเกลือ ประกอบพิธีกรรมด้วยรึเปล่านะครับ อิอิ)
Top Performing Films:
Superman Returns (6/28/06): $200.1 million
Superman (12/15/78): $134.2 million
Superman II (6/19/81): $108.1 million


Characters owned by DC Comics


4. Iron Man                                                     otal: $630,845,432 


ใครชอบ Robert Downey Jr. ขอให้ยกมือขึ้น \^o^/ นอกเรื่องฮะ นอกจาก Iron Man แล้ว Sherlock Holmes ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมชอบเหมือนกัน (แม้จะไม่เหมือนในวรรณกรรมของ Conan Doyle เลยก็ตาม อิอิ) Iron Man เป็นภาพยนตร์ของ Marvel อีกแล้วนะครับ และเป็นเรื่องที่ขายดีซะด้วยซิ 2 ภาค ภาคละ 300 ล้านเหรียญ ถือว่าใช้ได้เลยครับ (แค่นี้ก็ รวยเละแล้วววววว)

Top Performing Films:
Iron Man (5/2/08): $318.4 million
Iron Man 2 (5/7/10): $312.4 million



 



3. X-Men          Total $786.4 million(ไม่รวม X-Men:Original ภาคใหม่สุดนะครับ)

ก็อยากบอกว่าเป็นหนังที่สร้างค่อนข้างถี่เหลือเกินครับ หลังจากไปสร้างเป็นการ์ตูน หรือเป็นละครฉายทางเวทีซะนานเชียว ในที่สุดก็หาจุดลงตัว (ก็ในจอเงินไง อิอิ)

ทำไมช่วงหลังๆผมว่ามันสนุกน้อยลงนะ - -" หรือคิดไปเองหว่า????

อ๋อ เรื่องนี้ก็ยังมาจากค่าย Marvel เหมือนเดิมครับ
Top Performing Films: X-Men: The Last Stand (5/26/06): $234.4 million
X2: X-Men United (5/2/03): $214.9 million
X-Men Origins: Wolverine (5/1/09): $179.8 million

Characters owned by Marvel




 
2. Spider-Man                     Total: $1.11 billion
ไอ้แมงมุม คือชื่อไทยของหนังเรื่องนี้ครับ ถ้าเป็น Spider-Woman คงจะเป็น อีแมงมุม มั้งครับ โฮะๆ หนังเรื่องนี้ในความคิดผม ผมว่าหลายๆคนคิดว่าเป็นที่ 1 แน่ๆเลย แต่ก็......ผิดนิสนุงนะ หุหุ เสียใจด้วยครับที่ผิดหวังกันไป แต่ถ้าดูรายได้ของแต่ละภาคแล้วก็ขอบอกว่าค่อนข้างจะคงตัว แปลว่า!!! โตแบบ growth คงตัวนะครับ อิอิ (แต่จริงๆ ก็โตน้อยลงๆ สงสัยพ่อปาร์คเกอร์เราจะหมดความน่าเร้าใจไปเสียหน่อย อิอิ)
แต่ผมว่าคงถูกใจใครหลายคนนะครับ กลางวันเป็นนักข่าว กลางคืนเป็นกระสือ เอ๊ย เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ แต่บางทีพี่แกตอนกลางวันก็เป็นนี่หน่า 555 เอาเถอะ ยังไงก็อยากดูภาคต่อ นะครับบบบบ มาเร็วๆ

Top Performing Films:
Spider-Man (5/3/02): $403.7 million
Spider-Man 2 (6/30/04): $373.6 million
Spider-Man 3 (5/4/07): $336.5 million

Characters owned by Marvel

และแล้วก็ถึงอันดับที่...... 1
จะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้

นอกจาก

เรื่อง

เรื่อง

เรื่อง

BATMAN                                   Total: $1.45 billion


ดึงไปได้หลายย่อหน้าเลย อิอิ ก็อยากบอกว่า สะใจผมดี ส่วนตัวก็ไม่ได้เกลียดการดูหนังจากค่าย Marvel นะครับ เพียงแต่อยากให้ DC Comic ชนะก็แค่นั้นแหละ (อ้าว!!!) คือ ชอบ มนุษย์ค้างคาวอ่ะครับ อิอิ
จริงๆ กว่าจะรักก็ปาเข้าไป ภาค 3 ครับ หรือก็คือ ภาค The Dark Knight นั่นเองครับ หลายคนอาจจะติดใจในหนังของ Christopher Nolan นะครับ ผมก็คนนึงละ โดยเฉพาะ The Dark Knight สุดยอดจริงๆ ครับ


สร้างออกมาได้ลงตัวเหลือเกิน ไม่เค็มและไม่เลี่ยนจนเกินไป
พิมพ์แล้วก็คิดถึง Heath ledger จังเลยครับ เหมาะสมกับการแสดงเป็น Joker ด้วยประการทั้งปวงครับ ว่าแล้วก็ขอ RIP กับสุดยอด Joker แห่งโลกมายาครับ (และขอจบการนำเสนอ อันแสนยาวนาน ครับ ขอบคุณที่ทนอ่าน บทความนี้ครับ คนเขียนก็ขี้เกียจทำเสียเหลือเกิน - -")  


Top Performing Films:
The Dark Knight (7/18/08): $533.3 million
Batman (6/23/89): $251.2 million
Batman Begins (6/15/05): $205.3 million


Owned by DC Comics

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 24 มิ.ย. 2554

Daily View

1. ความวิตกกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจกลับมากดดันตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เตือนความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ  
2. ผลสำรวจของ HSBC พบว่าตัวเลข PMI ของจีนเดือนมิ.ย. ลดลงอีก
อย่างไรก็ตามเราก็ยังเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าจะยังคงมีอยู่ไปอีก 1-2 เดือนข้างหน้า แต่ก็เป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น และหากมองในแง่บวกการที่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มลดลงในช่วงนี้ จะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า

ดังนั้น แม้ว่าเรายังมองว่าช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานลงได้อีกจากการหมดลงของ QE2 และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงต่อเนื่อง ประกอบกับความเสี่ยงเรื่องการเมืองหลังเลือกตั้ง แต่เรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นโดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด

Strategy

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: การปรับลดลงของราคาน้ำมัน จะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่ม domestic play
เช่น กลุ่มธนาคาร (KTB BBL SCB) กลุ่มอสังหาฯ (SPALI  LPN)  กลุ่มพาณิชย์ (CPALL ROBINS GLOBAL) กลุ่มบันเทิง (MAJOR MCOT) หรือกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง (SVI TUF CPF) และแนะนำให้ Long future เมื่อตลาดปรับลงในวันนี้ เพื่อเก็งกำไร เรื่อง window dressing และการเมืองในสัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

หุ้นแนะนำวันนี้: KBS ROBINS

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น โดยเราเชื่อว่า stagflation หรือ Double dip ที่กังวลกันยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงช่วงนี้ เป็นผลเพียงแค่ระยะสั้น จากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

ปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตา

1. ดัชนี DJ ลดลง 59.67 จุด หรือ 0.49% แตะที่ 12,050.00 จุด
    ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 3.64 จุด หรือ 0.28% แตะที่ 1,283.50 จุด
    และดัชนี NASDAQ ปิดบวก 17.56 จุด หรือ 0.66% แตะที่ 2,686.75 จุด
เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐ หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธาน FED ได้แสดงมุมมองที่เป็นลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
โดย 1) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีปีนี้ (2011) ลงสู่ระดับ 2.7-2.9% จากระดับ 3.1-3.3%
       2) ปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีหน้า (2012) ลงสู่ระดับ 3.3-3.7% จากระดับ 3.5-4.2%
       3) ปรับเพิ่มอัตราว่างงานปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 8.6-8.9% จากระดับ 8.4-8.7%
นอกจากนี้ นักลงทุนวิตกกังวลมากขึ้นเมื่อกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 มิ.ย.พุ่งขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 429,000 ราย มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 415,000 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับที่เบอร์นันเก้ได้แสดงความกังวลว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอ่อนแอ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค.ร่วงลง 2.1% สู่ระดับ 319,000 ยูนิต/ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงซบเซา
อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์สามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้ หลังจากมีรายงานว่าคณะรัฐมนตรีกรีซมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายรัดเข็มขัดระยะ 5 ปี ซึ่งจะทำให้กรีซได้รับเงินกู้เพิ่มเติมจากสหภาพยุโรป และกองทุนไอเอ็มเอฟ ขณะเดียวกันมีรายงานว่า แผนรัดเข็มขัดระยะ 5 ปีของกรีซได้รับการอนุมัติจากคณะผู้ตรวจสอบของอียูและไอเอ็มเอฟแล้ว ซึ่งแผนการดังกล่าวครอบคลุมถึงการขึ้นภาษีและลดงบประมาณการใช้จ่าย
2. สัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง USD32.90 (คิดเป็น 2.12 %) มาปิดที่ระดับ USD1,520.50 เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอย่างหนัก
3. ราคาน้ำมัน Nymex ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง USD4.39/bbl(คิดเป็น 4.60%) ปิดที่ USD 91.02/bbl หลังจาก 28 ชาติสมาชิกเครือข่ายสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ประกาศว่าจะระบายน้ำมันดิบบางส่วนจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์เข้าสู่ตลาด เพื่อบรรเทาภาวะอุปทานพลังงานตึงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในลิเบีย

4. สำนักงานงบประมาณแห่งรัฐสภาสหรัฐ (CBO) เผยว่า แนวโน้มด้านงบประมาณของสหรัฐกำลังอยู่ในห้วงวิกฤต และคาดว่าตัวเลขหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐอาจพุ่งขึ้นแตะระดับ 70% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

5. รัฐบาลกรุงปักกิ่งและหลายบริษัทในพื้นที่เตรียมออกหุ้นกู้มูลค่า 5 หมื่นล้านหยวน เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาถูกในกรุงปักกิ่ง ส่วนเงินที่เหลือจะถูกนำไปใช้กับโครงการด้านวิศวกรรมที่สำคัญๆ 
6. ดัชนี PMI เบื้องต้นของจีน ซึ่งรวบรวมโดย HSBC ในเดือนมิ.ย. 54 ลดลงมาอยู่ที่ 50.6 จากเดือนพ.ค.ซึ่งอยู่ที่ 51.1

ประชาสัมพันธ์ Financial Talk Show ครั้งแรกของเมืองไทยครับ :)


ไปคัดลอกและดัดแปลงเนื้อหาของบริษัทหลักทรัพย์ที่ Blogger ทำงานมาหลายบทความ ต้องขอตอบแทนบุญคุณกันบ้างครับ :)
พี่โน้ส อุดม เดี่ยวมา 8 - 9 ครั้ง แล้วลองมาฟัง พี่กวี นักวิเคราะห์หลักทรัพย์มืออันดับต้นๆของเมืองไทย และ พี่ต้น เผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย กันบ้าง มั้ยครับ รับประกันความประทับใจแน่นอนครับ เพราะไม่ได้มาแค่ 2 ท่านแต่ยังพ่วงด้วย คุณตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน, โก๊ะตี๋ อารามบอย 2 สุดยอดตลกแห่งยุคปัจจุบัน พร้อมทั้ง พี่ก้อง สหรัถ แห่งลัดดาแลนด์ ><
รวมทั้ง อาจารย์ช้าง ทศพร ศรีตุลา และ คุณตุ๊ก วิยะดา โกมารกุล ณ นคร นักร้องสาวเสียงดี
กับ Concept ของ Talk Show ที่เป็น Financial Talk Show ครั้งแรกของเมืองไทยครับ "จงอย่าเป็นทาสของเงิน แต่จงใช้เงินเยี่ยงทาส"

วันแสดง        วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฏาคม 2554
รอบแสดง        15.30 - 19.30 น.
ประตูเปิด        15.00 น.
สถานแสดง    ณ เซ็นเตอร์พ้อยท์ เพยบ์เฮ้าส์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 8
สถานที่จำหน่ายบัตร  ไทยทิคเก๊ตเมเจอร์  สำหรับลูกค้าที่ทำการซื้อด้วยเงินสดตามปกติ สามารถซื้อได้ทุกสาขา
สำหรับลูกค้าที่ใช้ KS Amazing Point แลกบัตร สามารถไปรับบัตรที่เฉพาะสาขาหลัก ตามรายชื่อด้านล่าง
เริ่มจำหน่ายบัตร   วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน 2554
ราคาบัตร       
1. ราคาบัตร     900.- บาท / ที่นั่ง        ลูกค้าสามารถนำพ้อยท์ที่สะสมจำนวน    900 พ้อยท์ แลกได้ 1 ที่นั่ง
2. ราคาบัตร  1,200.- บาท / ที่นั่ง        ลูกค้าสามารถนำพ้อยท์ที่สะสมจำนวน 1,200 พ้อยท์ แลกได้ 1 ที่นั่ง
3. ราคาบัตร  1,500.- บาท / ที่นั่ง        ลูกค้าสามารถนำพ้อยท์ที่สะสมจำนวน 1,500 พ้อยท์ แลกได้ 1 ที่นั่ง
4. ราคาบัตร  1,800.- บาท / ที่นั่ง        ลูกค้าสามารถนำพ้อยท์ที่สะสมจำนวน 1,800 พ้อยท์ แลกได้ 1 ที่นั่ง   

ขั้นตอนการแลกบัตรสำหรับลูกค้าที่มี KS Amazing Point
    1. ลูกค้าจะต้องทำการกรอกแบบฟอร์มของแลกที่นั่ง ตามเอกสารแนบด้านล่าง หรือขอรับได้จาก KS Customer Service 0 2696 0011
    2. ลูกค้าส่งเอกสารกลับมายัง KS Customer Service เพื่อทำการตรวจสอบข้อมูล 
    3. เมื่อข้อมูลถูกต้อง ทาง KS Customer Service จะำทำการส่งจดหมายโดยในจดหมายมีการระบุ ชื่อ พร้อมหมายบัตรประชาชน จำนวนบัตรพร้อมราคา ส่งกลับไปยังลูกค้า โดยทาง Email หรือ Fax
    4. ลูกค้านำจดหมาย พร้อมบัตรประชาชนตัวจริง เพื่อขอรับบัตรตามที่จดหมายระบุได้ที่ ไทยทิคเกีตเมเจอร์ ในสาขาหลักคือ
   ในกรณีที่ลูกค้าตามชื่อที่ระบุไม่สามารถไปรับได้ด้วยตัวเองให้ดำเนินการดังนี้
1. ถ่ายสำเนาบัตรประชาชนของลูกค้าที่มีชื่อตามจดหมาย เซ็นต์ชื่อสำเนาว่ามอบหมายให้ท่านใดมารับแทน เช่น ให้นายสมชาย รักดี มารับแทน
2. นายสมชาย รักดี จะต้องนำ จดหมายที่ บล.กสิกรไทย ออกให้ พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของลูกค้า และบัตรประชาชนของนายสมชาย รักดี แสดงต่อเจ้าหน้าที่ไทยทิคเก๊ตเมเจอร์ในสาขาหลักตามด้านล่าง ในกรณีที่ลูกค้ามีพ้อยท์ไม่ถึงจำนวนบัตรที่ต้องการ สามารถเพิ่มเงินได้ดังนี้
1. ลูกค้านางสมหญิง  รักดี   มี KS Amazing Point  220 พ้อยท์ สามารถนำพ้อยท์ 200 พ้อยท์ (ขอเป็นตัวที่แลกเป็นตัวเลขหลัก 100 โดยไม่รับหลักสิบ) มาแลกบัตรได้ โดยทำการเพิ่มเงินสดดังนี้
 เช่น พ้อยท์ 200 พ้อยท์ เพิ่มเงิน 700 บาท ได้รับบัตร 900 บาทจำนวน 1 ใบ โดยมีขั้นตอนการแลกบัตรเหมือนด้านบนในข้อ 1-4

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

DTAC จะถูกปิดกิจการหรือไม่??

DTAC จะถูกสั่งปิดกิจการ หรือไม่??
อยากจะพิมพ์แชร์ข้อมูลกันตั้งแต่ตอนเช้าแล้วนะครับ แต่พอดีวันนี้งานเยอะมากกกก ก็เลยได้ฤกษ์เอาตอนเย็นๆ ขอเอาข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันที่ 23 มิถุนายน 54 มาเป็นแหล่งข่าวนะครับ
ต้องกล่าวก่อนว่า หุ้นกลุ่ม ICT เป็นอะไรที่ยุ่งยากปัญหาเยอะมากๆ เพราะนอกจากจะเป็นหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งมีเรื่องของความรวดเร็วในการพัฒนาและตอบสนองลูกค้าแล้ว ถ้าบริษัทใดสามารถหาจุดเด่นที่บริษัทอื่นในกลุ่มเดียวกันไม่สามารถทำได้ ก็จะชิงส่วนแบ่งทางการตลาดหรือพูดง่ายๆ ก็คือลูกค้าก็จะพร้อมใจกันเปลี่ยนค่ายมาใช้ค่ายที่มีโปรโมชั่น, ลูกเล่นใหม่ๆที่น่าดึงดูดกว่า ดังนั้นในกลุ่มหุ้น ICT ที่จะยกมาพูดถึงจากข่าวก็คือ หุ้นตัวเอ้ 3 ตัว หรือในบล. ของ Blogger จะเรียกว่า กลุ่ม 3G ครับ (DTAC TRUE และ ADVANC) นอกจากเรื่องความรวดเร็วก็ยังมีเรื่องด้านความมั่นคง ซึ่งแน่นอนครับว่าจะต้องเกี่ยวข้องเกี่ยวกับ การเมือง โอ๊ย แค่คิดก็วุ่นแล้วครับ 
 (ปล ถ้าใครรู้จักดาวเทียม THCOM ก็อยู่ในกลุ่ม ICT ครับ -...-" ตัวน่าปวดหัวเลยครับ)
สำหรับหุ้นเด่นๆ ในกลุ่มนี้ก็ได้แก่    
1.   ADVANC ผู้ก่อตั้งบริษัทก็... อดีตนายกรัฐมนตรีของเราเองครับ)
2.   DTAC มาจากกลุ่ม UCOM เก่า (เพิกถอนออกจากตลาดตั้งแต่ปี 2006 แล้วครับ)
3.   TRUE มาจาก กลุ่ม Telecom Asia แล้วก็ซื้อกิจการด้านโทรคมนาคมต่อจาก Orange กลายเป็นบริษัท True Move อย่างที่เราเห็นๆกันครับ
ตามที่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจได้ลงไว้ว่า TRUE ได้ทำการฟ้อง DTAC ว่ามีต่างด้าวถือหุ้นอยู่ในบริษัทเกินจำนวน โดยเป็นนิติบุคคลต่างด้าวที่เป็นผู้ถือหุ้นอยู่รวม 71.35% ซึ่งที่ต้องสงสัยมีอยู่ 3 แห่งคือ 1. บริษัท เทเลนอร์ เอเชีย จำกัด (สิงคโปร์)  เป็นนิติบุคคลต่างด้าว ถือหุ้นดีแทค 39.58% 
2. บริษัท ตั๊กวู โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างด้าวจดทะเบียนอยู่ที่เกาะบริติชเวอร์จินไอส์แลนด์ และอยู่ในผู้ถือหุ้นใน 5 ลำดับชั้นของดีแทค ที่จะต้องทำการตรวจสอบ โดยที่ตั้งบริษัทเดียวกัน กรรมการกลุ่มเดียวกัน และแหล่งเงินทุนมาจากที่เดียวกัน 
3. บริษัท ไทยเทลโค โฮลดิ้งส์ เป็นนิติบุคคลไทย ถือหุ้น 25.59 % ซึ่งต้องระวังว่าจะเกิดการกระทำความผิดในลักษณะโดมิโน เพราะจะทำให้การถือครองหุ้นของต่างด้าวเกิน 49 % และทางดีแทคก็ไม่ได้ยื่นขออนุญาตกับอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในเรื่องการถือครองของชาวต่างชาติ 

     แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าหากเกิดกรณีที่ดีแทคเป็นธุรกิจของคนต่างด้าวจริง และถือว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว แต่ในระหว่างที่ศาลสั่งให้หยุดดำเนินการกิจการ ทางดีแทคสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นให้ถูกต้องตามกฎหมายและขออนุญาตดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมต่อคณะกรรมการประกอบธุรกิจคนต่างด้าวได้

ในรูปแสดงถึงผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทดีแทค นะครับ



 ที่มา: http://www.settrade.com/C04_05_stock_majorshareholder_p1.jsp?txtSymbol=DTAC&selectPage=5


ถามว่าในมุมมองของผมแล้ว ข่าวที่เกิดขึ้นเป็น ข่าวร้ายในระยะสั้นครับ DTAC มีลูกค้าอยู่ทั่วประเทศประมาณ 22 ล้านราย ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสั่งปิดกิจการไป เพราะกระทบกับคนส่วนใหญ่(มาก) ของประเทศ และคดีที่คล้ายคลึงกันก็เคยเกิดครับ (คดีซุกหุ้น ของ อดีตนายกฯ ไงครับ) 
ถามว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้มั้ย จะทำให้บริษัท ดีแทค ต้องปิดกิจการมั้ย?

ในมุมมองของ Blogger ก็ต้องยอมรับว่าเมืองไทยมี บริษัทที่มี Nominee ชาวต่างชาติมาถือครองอยู่เยอะครับ เพียงแต่มันก็เหมือนการยอมรับ บางบริษัทอาจจะจดทะเบียนกับกระทรวงฯ แต่บางบริษัทก็แอบเป็นแบบนั้น ถ้ากฎหมายตัวนี้เกิดเฮี้ยบขึ้นมา คราวนี้แหละ ประเทศไทยเรา หลายๆบริษัท รื้อข้อมูลกันวุ่นวายเลยครับ 

สุดท้าย Blogger ก็ขอมองว่าเป็นแค่การเล่นแง่กันของทั้งสองบริษัทคือ TRUE และ DTAC ครับ เพราะต้องอย่าลืมว่า บริษัทในกลุ่ม ICT ก็มีเรื่องของการชิงความรวดเร็ว และความแตกต่างของการให้บริการครับ

สิ่งที่ต้องจับตาคือ
1.             TRUE จับมือกับ CAT ใกล้จะเปิด 3G DTAC ก็ฟ้องให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว (ทำให้ TRUE ยังไม่สามารถเปิดใช้ 3G ได้ก่อนบริษัทอื่น)
2.             การเพิ่มทุนของ TRUE ทำให้ราคาหุ้นของ TRUE ถูกปรับตัวลดลงมาและตอนนี้ก็ราคาลงต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง เพราะ Earnings ที่ออกมาก็ไม่ดี Div Yield ก็ไม่มี บริษัทไม่เคยจ่ายปันผลเลยในช่วง 4 – 5 ปี คำถามคือหุ้นของ TRUE เทรดในราคาที่เหมาะสมแล้วหรือไม่
3.             การที่บริษัท ADVANC ทำกำไร new high ครั้งใหม่เมื่อเทียบกับผลการประกอบการในรอบเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ราคายังไม่ถึง high เดิมเลย แสดงว่าเรื่องการเมืองก็ยังมีผลอยู่อีกมาก และจากการที่ 2 บริษัทคู่แข่งทะเลาะกันเอง ก็มีสิทธิ์ให้นักลงทุนตัดสินใจมาลงทุนในหุ้น ADVANC แทน
สุดท้ายนี้หากใครเคยเล่น ทฤษฏีเกม หรืออ่านทฤษฎีเกมอยู่ ลองประยุกต์มาใช้กับหุ้น 3G พวกนี้ดูครับแล้วจะเข้าใจความซับซ่อน เหมือนที่ผมจั่วหัวไว้ใน Chula Invest club เลยครับว่า “สุดท้าย มันก็คือเรื่องของธุรกิจ”

ปล. บทความนี้ผมพยายามค่อยๆ กรองความคิดในหัวออกมานะครับ อาจจะยังสับสนอยู่บ้างเพราะพยายามพิมพ์ให้เห็นภาพแต่ ถ้าใครยังสงสัยในส่วนไหน โพสต์ทิ้งไว้ใน Facebook หรือในส่วนนี้ก็ได้นะครับ จะพยายามปรับปรุงให้กับเพื่อนๆ ทุกคนที่ได้อ่านกันครับ

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 23 มิ.ย. 2554

วันนี้เพื่อเพิ่มมุมมองนะครับ จะขอคัดลอกส่วนเนื้อหา บทวิเคราะห์ของ 2 
โบรกมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ (จะอัพเดทบทความนี้เรื่อยๆครับ)
Daily View
1.  ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ออกมาส่งสัญญาณเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงอ่อนแอ และมีความเสี่ยงต่อการฟื้นตัว พร้อมปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งปีนี้และปีหน้าลง โดยเรื่องนี้ตลาดได้รับรู้มาพอสมควร เนื่องจากราคาน้ำมันยังคงปรับเพิ่มขึ้นมาได้ (ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 95.41 USD/bbl จาก 94.17 USD/bbl: ข้อมูลจาก e-financ)
 ที่มาของรูปภาพ: http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=21951


เราก็ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาส Rebound ได้ต่อในระยะสั้น
1. จากการเก็งกำไรเรื่องการเมือง ที่ก่อนหน้านี้ได้รับรู้ข่าวลบไปมากพอสมควร
2. การเก็งกำไรเรื่อง Window dressing ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 2
อย่างไรก็ตามเรายังมองว่าช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานจากการหมดลงของ QE2 ประกอบกับความเสี่ยงเรื่องการเมืองหลังเลือกตั้ง

การลงทุนระยะยาว การปรับฐานที่เกิดขึ้นจะเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเราเชื่อว่าการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุผลชั่วคราวจากเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ราคาน้ำมันที่ลดลงช่วงนี้ จะเป็นผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงในอนาคต และเรายังคงมั่นใจถึงความแข็งแกร่งของกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่จะทำให้ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยใหม่
คงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด

Strategy
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:
1. แนะนำเก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารและอสังหาฯ ได้บางส่วนจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ BBL KTB SCB SPALI LPN
2. เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 2 จะออกมาดี และมีการจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีเช่น CPF TVO HMPRO BAFS ADVANC MAJOR MCOT และ SPALI เป็นต้น
3. เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะมีการทำ window dressing เช่น TOP MINT BTS LPN SPALI STEC TICON SCB TISCO SF

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น โดยเราเชื่อว่า stagflation หรือ Double dip ที่กังวลกันยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงช่วงนี้ เป็นผลเพียงแค่ระยะสั้น จากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

ที่มา : บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 


บทวิเคราะห์จาก บล. กิมเอ็ง (หยิบเงินหยิบทอง) แล้วนำมาดัดแปลงโดย Blogger อีกต่อหนึ่งครับ
 
Daily  View
                ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงอีกครั้ง แต่ก็เพียง 3.86 จุดมาอยู่ที่ 1023.86 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 20,217 ล้านบาท และเกิดแรงขายทำกำไรเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่อย่าง PTT – PTTCH – BANPU รวมถึงกลุ่มธนาคาร และต่างชาติขายสุทธิอีกครั้งด้วยเม็ดเงินกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่
                ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1,018 – 1,030 จุด โดยที่ต้องจับตาค่าเงินบาทเทียบ USD หลักการประชุด FED คืนวานนี้ แม้ว่าจะมีการปรับลดมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงก็ตาม แต่เฟดกลับเพิ่มมาตรการทางอ้อมด้วยการนำเงินที่ได้จากการลงทุนในตราสารหนี้กว่า US$2 ล้านล้าน มาลงทุนในระบบต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะลดแรงกดดันของนักลงทุนทั่วโลกได้เช่นกัน ทิศทางค่าเงินดอลลาร์จะกลับมาอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลัก ซึ่งจะเอื้อต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้น และน้ำมัน ได้ดีดตัวกลับมายืนเหนือ $95/bbl อีกครั้ง
                KEST คงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จนถึงวันประกาศผลการเลือกตั้ง รวมถึง Window Dressing แรงเก็งกำไรต่อผลการเลือกตั้ง ซึ่งมีโอกาสเห็น Hedge Fund จากต่างประเทศเข้ามาสะสมหุ้นไทยมากขึ้นในสัปดาห์หน้า
                ดังนั้นการลงทุนในช่วง 1 – 2 สัปดาห์นี้ ควรมุ่งเน้นที่หุ้นขนาดใหญ่และลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กชั่วคราว

Strategy
                KEST แนะนำถือพอร์ตส่วนที่เหลือ และทยอยสะสม JAS, TOP