วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นักวิเคราะห์สมคบคิด

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อัพเดท Facebook หรือ Blog เลยครับ ไม่ว่างจริงๆฮะ ต้องตั้งใจดู แมนฯยูฯ อิอิ
ไม่ใช่แหละ จริงๆ ก็แอบทำ project เล็กๆน้อยๆ (อีกแหละ)

อ่านหนังสือพิมพ์น้อยลงเหมือนกันครับช่วงนี้ ก็พยายามแหละ แต่มันไม่ได้จริงๆ ก็เลยอาศัยฟังให้มากขึ้น แล้วก็ไปเจอบทความอันนึงที่เขียนถึง นักวิเคราะห์ โบรกต่างชาติแห่งหนึ่ง บอกไม่ได้นะว่า ใคร อิอิ
มาจาก หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น ฉบับวันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2554 ครับ เขียนโดยคุณ วิษณะ โชลิตกุล
ชื่อบทความ "พลวัต ปี 2011"

นักวิเคราะห์สมคบคิด !!!!
นักวิเคราะห์หุ้นมีบุคลิกภาพแตกต่างกัน แม้ว่าสำนักคิดจะค่อนข้างคล้ายคลึงกัน โดยทั่วไปแล้ว มีคนแบ่งความถนัดของนักวิเคราะห์หุ้นหรือตลาดเก็งกำไรออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. พวกมองโลกในแง่ร้าย ถนัดแนะให้ขาย เห็นอะไรก็สงสัยในทางร้ายไว้ก่อน ข้อดีของคนเหล่านี้คือ ทำให้คนไม่เชื่อผู้บริหารหรือไม่หลงใหลไปกับการวิ่งของราคาหุ้นที่ผิดปกติ ทั้งหลาย แต่ข้อเสียคือ ชวนให้โลกเศร้าหมองมากกว่าปกติ
2. พวกถนัดแนะซื้อ เห็นอะไรก็ดีไปหมด มองโลกสดใสเสมอ ขนาดหุ้นเข้าเขตซื้อมากเกินไป ยังแนะนำให้ซื้ออีกก็ยังมี บอกว่ามีสตอรี่รออยู่เพียบ
3. นักวิเคราะห์โหนกระแส ไม้หลักปักเลน แต่ชอบอ้างว่าเป็นนักวิเคราะห์อิสระ แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง บางคนก็มีนิสัยประเภทขวางโลก  

นักวิเคราะห์ที่ไม่เข้าข่ายสามประเภทข้างต้น เป็นกลุ่มคนที่ชวนให้ตั้งคำถามเสมอ 
นักวิเคราะห์หุ้นคนหนึ่ง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แนะนำให้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งซึ่งมีราคาแพง บอกว่าราคาที่เป็นอยู่นั้น ยังต่ำเกินพื้นฐาน เพราะว่า จะเข้าไปซื้อกิจการต่างๆ อีกเพียบเพราะมีเงินสดในมือมากเหลือเกิน แต่พอมาถึงกลางปีคล้อยไปนิดเดียว กลับแนะนำว่า ต้องขายหุ้นตัวนี้ทิ้งไปเสีย เพราะที่ไปซื้อกิจการมานั้น ไม่เอาไหนเลย อนาคตไม่สดใสเอาเสียเลย แถมยังบอกว่า ราคาที่เป็นอยู่ที่ลงมาระเนระนาดยังแพงเกินไป ต้องมีถูกกว่านี้อีก 
ความไม่แน่นอนของการวิเคราะห์เช่นนี้ ถามว่า มันเป็นเพราะคุณภาพเลวของนักวิเคราะห์เองที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือเพราะเจตนาแฝงเร้นของนักวิเคราะห์ในแต่ละช่วงเวลา


คำตอบอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง หรือไม่เป็นทั้งสองอย่าง สิ่งที่ต้องพิจารณามากไปกว่าเรื่องของนักวิเคราะห์คนนั้นก็คือ ทำไมมีคนบางคนเชื่อคำพูดของคนเช่นนี้


คำตอบอยู่ที่เป้าหมายของผู้รับข้อมูลข่าวสารว่ามีคุณภาพแค่ไหนเป็นสำคัญ


นั่นทำให้ปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นประเด็นทำนองเดียวกันกับทฤษฎีสมคบคิดธรรมดานั่นเอง
เวลาพูดถึงทฤษฎีสมคบคิด เรามักจะคิดไปไกลว่า มันจะต้องเกิดขึ้นจากมีคนร่วมมือกันหลายคน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ มันเกิดจากการสร้างชุดความคิดที่กลับเหตุเป็นผล ผลเป็นเหตุเป็นสำคัญ และทำให้ผู้รับข้อมูลข่าวสารคิดตามไม่ทัน เพราะมีความรู้พื้นฐานที่เบี่ยงเบนจากมาตรฐานทางปัญญา
          กรรมวิธีการใช้ทฤษฎีสมคบคิด เกี่ยวข้องกับการสร้างหลักฐาน สร้างเหตุผล สร้างพยาน ทั้งด้านเอกสาร ด้านบุคคล ด้านสถานที่ จากนั้นก็นำมาผสมผสานกับจินตนาการของตน แล้วร้อยเรียงผูกเรื่องราวและเหตุผลหลักฐานต่างๆ  เข้าด้วยกัน ให้สอดคล้องสมเหตุสมผลให้น่าเชื่อถือมากที่สุด ใช้ระยะเวลาและกระบวนการในการปล่อยข่าว การลือ การโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อล้างสมอง จนถึงเวลาที่เหมาะสม


สิ่งที่พึงพิจารณาก็คือ ทฤษฎีสมคบคิดนั้นล้วนไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระ แต่มีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้นอื่นๆ เพื่อให้ประโยชน์/ให้โทษต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด หรืออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
            การใช้เหตุผลแบบกลับหัวเป็นเท้าของทฤษฎีสมคบคิด มีเป้าหมายหวังว่าผู้ที่รับข่าวสาร หรือรับรู้เรื่องราวนั้น จะใช้ข้อมูลที่ได้รับเป็นปัจจัยในการตัดสินใจที่จะดำเนินกิจกรรมทั้งด้าน ส่วนตัว ด้านสังคม องค์กรต่างๆ  รวมถึงการกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ และทิศทางของโลก มาเข้าทางหรือเข้าสู่แนวทางที่พวกเขาต้องการ เพื่อผลประโยชน์ในการหักล้างความน่าเชื่อถือของทฤษฎีเดิมหรือความเชื่อทาง จารีต  ค่าโง่ที่ผู้รับข่าวสารจ่ายให้กับผู้สร้างทฤษฎีสมคบคิด จึงเป็นค่าโง่ที่ไม่อาจจะโทษใครเขาอื่นได้ ต้องโทษตัวเราเองที่เชื่อเขา ไม่ตรวจสอบ ไม่ศึกษาปรึกษาพิจารณาให้ถ้วนถี่ ไร้เดียงสากับคนบางกลุ่มมากเกินขนาด
            ทฤษฎีสมคบคิดนั้น ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสีย ข้อดีก็มีอยู่บ้าง เพราะผลลัพธ์ของขบวนการที่ใช้ทฤษฎีสมคบคิดกันมากมาย ทำให้คนเราสามารถแบ่งแยกผู้คนบนโลกออกเป็นสองฝ่ายในด้านของข้อมูลข่าวสาร ฝ่ายแรกเชื่อว่าเป็นจริง อีกฝ่ายไม่เชื่อ นั่นไม่ใช่ความจริง
ถ้านักลงทุนทั้งหลาย เข้าใจคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่ว่า ในตลาดหุ้นนั้นมีพฤติกรรมประหลาดกว่าตลาดอื่น เพราะคนรวย (นักลงทุนทั้งหลาย) พากันไปอ้อนวอนหรือเชื่อถือยาจก (นักวิเคราะห์) ด้วยมายาคติว่า พวกยาจกจะทำให้เขารวยขึ้นกว่าเดิม นักลงทุนก็จะเข้าใจดีว่า บนข้ออ้างในเรื่องความเที่ยงธรรมของนักวิเคราะห์นั้น ได้มีทางออกหรือข้อป้องกันให้กับพวกเขาเองเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ


ปัญหาเรื่องทฤษฎีสมคบคิดของนักวิเคราะห์ที่ไม่น่าเชื่อถือก็จะไม่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นกรณีการทุบหุ้น BANPU และเครือ PTT ทั้งหมดอย่างไร้ความน่าเชื่อถือ
หรือแม้กระทั่งเรื่องวิวาทะเกี่ยวกับการสอบสวนคดีเมลสื่อรับเงินพรรคการ เมืองที่ตาลปัตรกลายเป็นกระบวนการป้ายสีพวกที่ตนไม่ชอบในนามของคุณธรรมทุศีล ที่กำลังอื้อฉาวในวงการสื่อยามนี้
 เครดิตกันอีกที หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น 29 สิงหาคม 2554 :พลวัตปี 2011 นักวิเคราะห์สมคบคิด

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 15 ส.ค. 2554

Daily View
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นตลอด 2 วันทำการที่ผ่านมา หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลต่อการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์วิกฤติหนี้ในยุโรป โดย CDS ของประเทศสหรัฐฯและยุโรปปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่เช้านี้ญี่ปุ่นได้รายงานตัวเลข GDP ไตรมาสสอง ชะลอตัวเพียงร้อยละ 1.3 ที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัร้อยละ 2.6 ซึ่งเราเชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวจะช่วยผ่อนความวิตกต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้พอสมควรและสนับสนุนการรีบาวด์ของตลาดหุ้นในระยะสั้น
สำหรับแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอลงแต่เราเชื่อว่าแรงขายดังกล่าวยังคงมีอยู่ซึ่งจะกดดันการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น โดยปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติมีกำไรจากตลาดหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่ 5.5% (ลดลงจาก 14.5%) ซึ่งเราเชื่อว่าตลาดจะเคลือนไหวแกว่งตัวออกด้านข้าง ก่อนจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 หรือต้นไตรมาสที่ 4 โดย downside ก็ยังคาดว่ามีจำกัดเนื่องจาก 1) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่ง 2) เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวในระดับที่ดี 3) ราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในเอเชีย และ 4) กองทุนในประเทศจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อ เนื่องจากการเข้าซื้อกองทุน LTF โดยเราให้ Downside ของ SET index ไว้ที่ 1010 จุด
ขณะที่มุมมองในระยะกลางของเรายังเป้นบวก และมองการปรับฐานเป็นโอกาสในการสะสมซื้อ เนื่องจาก 1) เราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าปี 2551 เนื่องจากสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับช่วง subprime 2) ปัญหาหนี้ในยุโรป โดยเฉพาะในอิตาลีและสเปน สุดท้ายจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF และ EU 3) แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง หรือต้นปีหน้า  หลังจากราคาน้ำมันปรับลดลงมาอย่างรุนแรง ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียก็แข็งแกร่งกว่าประเทศพัฒนามาก และ 4) การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำของสหรัฐฯ ถึงกลางปี 2556 จะนำไปสู่การทำ Dollar carry trade ในที่สุด โดยเราคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด โดยมองว่าหุ้นในกลุ่ม domestic play จะ outperform ตลาดโดยภาพรวม
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  การ rebound รอบนี้อาจขึ้นมาได้ในกรอบจำกัด ดังนั้นยังเก็งกำไรในวงเงินจำกัดไปก่อน โดยเน้นเก็งกำไรหุ้นในกลุ่ม domestic play เป็นหลัก เนื่องจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่มีมากขึ้น ขณะที่การบริโภคในประเทศยังมีแนวโน้มสดใสจากนโยบายของภาครัฐ
1) หุ้นในกลุ่มผู้ประกอบการบ้าน เพราะการที่ Fed ตรึ่งอัตราดอกเบี้ยไปอีก 2 ปี และราคาน้ำมันที่ลดลง อาจทำให้มีการคาดหมายว่าอัตราดอกเบี้ยไทยใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มผู้ประกอบการบ้าน นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มนี้นักวิเคราะห์เราคาดการณ์ว่ากำไรจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ แนะนำ SPALI AP LPN LH และ PS
2) หุ้นที่มี P/E ถูก ผลประกอบการคาดว่าจะออกมาดี และได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่นหุ้นกลุ่ม ICT ADVANC DTAC LOXELY AIT SAMTEL SAMART กลุ่มผุ้ประกอบการบ้าน LH AP SPALI กลุ่มสื่อ RS MAJOR MCOT กลุ่มประกัน BLA กลุ่ม commercial CPN กลุ่มพาณิชย์ HMPRO BIGC CPALL
3) หุ้นที่มักมีการเก็งกำไรก่อนการประกาศจ่ายปันผลเช่น CPF TVO GRAMMY TCAP และ MCOT
อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย
กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้ทยอยสะสม

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Dividend Payment

หลังจากบริษัทจดทะเบียนประกาศ ผลประกอบการไตรมาส 2 ก็จะสะท้อนแล้วครับว่า
1. ผลประกอบการของครึ่งปีที่ผ่านมาว่าดีหรือไม่? ถ้าแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ไม่ว่าจะเป็น เหตุจากฤดูกาล หรือความผิดปกติในบริษัทฯ ก็จะทำให้ผู้ถือหุ้นเริ่มเกิดความสงสัยได้ครับ วิธีการแก้ไขก็เช่นออกมาชี้แจงแถลงไขกันไป อิอิ หรือไม่ก็พยายามเร่งเครื่องทำฝีมือกันในครึ่งปีหลังครับ คราวนี้แหละจะได้เห็นฝีมือของ Management Team ซะหน่อย
2. ถ้าออกมาดีละ อิอิ มันก็ต้องตอบแทนคนที่เชื่อถือเป็นผู้ถือหุ้นกันบ้างซิ
ผู้ถือหุ้นหรือในชื่อเล่นในภาษาอังกฤษคือ Residual Claim(แปลว่า ผู้มีสิทธิคนสุดท้ายในของที่เหลืออยู่) ถ้าแปลแบบร้ายๆหน่อยก็ "ลูกเมียน้อย"อ่ะครับ ได้ของทีหลังสุด หึหึ ละครชัดๆ

เพราะผู้ถือหุ้นบางบริษัท อิ่มหมีพีมัน กว่าเจ้าหนี้เยอะครับ 5555 ก็แน่นอน เพราะผู้ถือหุ้นย่อมได้ถือเอาความเสี่ยงที่มากกว่าเจ้าหนี้นี่หน่า

แล้วอย่างนี้บริษัทที่น่ารักจะทำอย่างไรได้ล่ะ? ก็ต้องจ่ายปันผลซิครับ
เกริ่นมาซะยืดยาว จริงๆ ก็แค่จะเอาบริษัทจดทะเบียนที่จ่ายผลประกอบการเฉพาะกาล มาให้ผู้อ่านได้ตัดสินใจนั่นแหละครับ

ปล. ถือว่าผมเอาข้อมูลจริงๆมาลงละกันนะครับ ชอบตัวไหนก็ลองเอาไปศึกษากันได้ครับ เพราะองค์ประกอบก็มีอีกพอสมควร แต่ให้ช่วยตัดสนิกันง่ายๆนะครับ "ตราบใดที่บริษัทจ่ายปันผลออกมา เมื่อคำนวณเป็น Div Yield แล้วมากกว่า ดอกเบี้ยเงินฝาก เมื่อนั้น หุ้นตัวนั่นก็ยังมีเสน่ห์อยู่ในตัวของมันอยู่ครับ" :)

ขอให้เพื่อนๆ ที่ได้มาอ่านบทวิเคราะห์ได้เจอหุ้นที่โดนใจกันนะครับ

ข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2554 ครับ :)



ที่มา : หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน), www.settrade.com

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 9 ส.ค. 2554

Daily view: จับตา Fed คืนนี้ อาจถูกกดดันให้ทำบางอย่าง

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  แนะนำให้จำกัดเงินในการเก็งกำไร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลง รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อื่นๆ ด้วยเนื่องจากแรงขายจากต่างชาติยังคงมีอยู่ โดยการเก็งกำไรให้เน้นไปที่ หุ้นที่มี P/E ถูก ผลประกอบการคาดว่าจะออกมาดี และได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่นหุ้นกลุ่ม ICT DTAC LOXELY AIT SAMTEL SAMART กลุ่มผุ้ประกอบการบ้าน LH AP SPALI กลุ่มสื่อ RS MAJOR MCOT กลุ่มประกัน BLA กลุ่ม commercial CPN รวมถึงหุ้นที่มักมีการเก็งกำไรก่อนการประกาศจ่ายปันผลเช่น CPF TVO GRAMMY TCAP และ MCOT อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย

หุ้นแนะนำวันนี้:  LOXLEY, HMPRO, CPN

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อ SET index เข้าใกล้ 1060 จุด หรือต่ำกว่า

EXTERNAL FACTOR

ดัชนี DJ ปิดลบ 634.76 จุด หรือ 5.55% แตะที่ 10,809.85 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 79.92 จุด หรือ 6.66% แตะ 1,119.46 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 174.72 จุด หรือ 6.9% แตะที่ 2,357.69 จุด ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนักท่ามกลางการความตื่นตระหนก หลังจากเอสแอนด์พีประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐลง 1 ขั้น สู่ระดับ AA+ จากระดับ AAA พร้อมให้แนวโน้มเชิงลบ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยเอสแอนด์พีมองว่าแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการคลังที่สภาคองเกรสและคณะบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ไม่เพียงพอที่จะทำให้สถานการณ์หนี้สาธารณะของประเทศมีเสถียรภาพได้ นอกเหนือจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสหรัฐแล้ว เอสแอนด์พียังได้ปรับลดความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินของรัฐบาลที่มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้ระยะยาวของสหรัฐ รวมถึงแฟนนี เม และเฟรดดี แมค นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันมากขึ้น เมื่อมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ออกมาเตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ AAA ของสหรัฐ หากรัฐบาลสหรัฐยังไม่สามารถลดยอดขาดดุลงบประมาณได้ ขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภท 10 ปีของสหรัฐร่วงลงต่ำกว่าระดับ 2.4% เนื่องจากนักลงทุนยังคงเชื่อว่าพันธบัตรเป็นแหล่งการลงทุนที่ปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจยังผันผวนและไร้ทิศทาง โดยเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ประมาณการว่า การลดอันดับเครดิตของสหรัฐจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี และอาจจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น 0.60-0.70% ในระยะกลาง
สัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น USD61.4 หรือ 3.7% ปิดที่ระดับ USD1,713.2  เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อทองเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรอบสอง หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือสหรัฐ
ราคาน้ำมัน Nymex ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง USD5.57/bbl หรือ 6.41% ปิดที่ USD81.31/bbl           
เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจาก เอสแอนด์พี ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือสหรัฐ ซึ่งสร้างความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และอาจจะทำให้อุปสงค์พลังงานหดตัวลงด้วย

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 8 ส.ค. 2554

 Strategy

ความเสี่ยงระยะสั้นในตลาดหุ้นยังคงสูงอยู่จากแรงขายในสินทรัพย์เสี่ยงหลังจาก S&P ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ลงจาก AAA เหลือ AA+ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

นอกจากนี้เรายังมีความเสี่ยงจากความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง (Double Dip) และวิกฤตหนี้สาธารณะอาจจะลุกลามไปทั่วยุโรป โดยเราเชื่อว่าความเสี่ยงเหล่านี้จะยังคงอยู่ในช่วง 1-2 อาทิตย์ข้างหน้า เพราะในช่วง 2 เดือนจากนี้อิตาลีจะมีจำนวนหนี้มหาศาลที่ต้องชำระคืน
นอกจากนี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ยังคงกดดันตลาดได้อยู่
สำหรับอาทิตย์นี้ปัญหาเงินเฟ้อในเอเชียอาจกลับมาใหม่ เพราะประเทศจีนจะประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ ดังนั้นในระยะสั้นตลาดยังมีโอกาสปรับฐานได้อยู่

แม้ว่าในระยะสั้นเรายังกังวลถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น แต่เรายังไม่เปลี่ยนมุมมองที่เป็นบวกในระยะกลาง และมองการปรับฐานเป็นโอกาสในการสะสมซื้อ โดยมอง downside risk ที่ 1060 จุด
เนื่องจาก 1) เราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น เราไม่คิดว่าจะเกิด Double dip เนื่องจากหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกไม่ฟื้นตัวขึ้นมาดังคาด Fed จะหันมาใช้ QE3
2) ปัญหาหนี้ในยุโรป โดยเฉพาะในอิตาลีและสเปน สุดท้ายจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF และ EU
3) แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง หรือต้นปีหน้า  หลังจากราคาน้ำมันปรับลดลงมาอย่างรุนแรง และอยู่ต่ำกว่า USD100/bbl เป็นระยะเวลาหลายเดือนแล้ว ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียก็แข็งแกร่งกว่าประเทศพัฒนามาก
และ 4) การปรับลดงบประมาณรายจ่ายของสหรัฐฯ จะทำให้สหรัฐฯ ยังคงต้องใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป ซึ่งนั้นหมายถึงการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ แต่อัตราดอกเบี้ยเอเชียยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งนั้นจะนำไปสู่การทำ Dollar carry trade ในระยะต่อไป โดยเราคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  แนะนำให้จำกัดเงินในการเก็งกำไร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลง โดยการเก็งกำไรที่เกิดขึ้นจากนี้อาจเน้นไปที่ หุ้นที่มี P/E ถูก ผลประกอบการคาดว่าจะออกมาดี และได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่นหุ้นกลุ่ม ICT DTAC LOXELY AIT SAMTEL SAMART กลุ่มผุ้ประกอบการบ้าน LH AP SPALI กลุ่มสื่อ RS MAJOR MCOT กลุ่มประกัน BLA กลุ่ม commercial CPN รวมถึงหุ้นที่มักมีการเก็งกำไรก่อนการประกาศจ่ายปันผลเช่น CPF TVO GRAMMY TCAP MCS และ MCOT อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย

หุ้นแนะนำวันนี้:  ทยอยสะสม ADVANC MCOT CPF

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้สะสมเพิ่มเมื่อ SET index เข้าใกล้ 1060 จุด

ที่มา: หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 3 ส.ค. 2554

สิ่งที่ต้องจับตาคือ การจะขอแลกภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% โดยจะขอแลกกับ BOI (การไม่เสียภาษี ซึ่งจะมีผลลบกับ กลุ่มโรงงาน กลุ่มอิเลคทรอนิคส์ บางธุรกิจที่มาจากต่างชาติ ซึ่งการให้ BOI จะเป็นตัวจูงใจพวกเขา เพราะฉะนั้น คิดว่าข่าวนี้จะเป็น Sentiment ระยะสั้น เป็นไปได้ยากที่จะทำออกมาถ้าหุ้นกลุ่มนี้ลดลงมาแรงๆ ก็น่าสนใจที่จะเข้าลงทุน) 
Strategy

SET index ในรอบนี้ปรับเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 998 จุดมาเป็น 1140 จุดในปัจจุบัน หรือปรับเพิ่มขึ้นแล้ว 14% และหากรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 2.56% ซึ่งหมายถึง SET index ในรูปเงิน US ปรับขึ้นมาแล้ว 16.56% ซึ่งก็พร้อมที่จะให้นักลงทุนต่างประเทศขายทำกำไรออกมา ขณะที่เป้าหมาย SET index ปีนี้ของเราอยู่ที่ 1250 จุด เหลือ upside ประมาณ 8.8% จากระดับปัจจุบัน ซึ่งด้วยผลตอบแทนดังกล่าว อาจไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันเช่น 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากสหรัฐฯ ต้องมีการตัดงบประมาณ เพื่อผ่านแผนปรับเพิ่มเพดานหนี้ และตัวเลขเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกก็แสดงการชะลอลงอย่างชัดเจน 2) ปัญหาหนี้ในยุโรปที่พร้อมจะกลับมาทุกเมื่อ และอาจจะลุกลามเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศอิตาลีและสเปน 3) ปัญหาเงินเฟ้อในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย และ 4) ความเสี่ยงเรื่องการปรับอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ลงที่ถึงแม้ว่า Fitch และ Moody’s จะออกมาบอกว่ายังไมลดอันดับช่วงนี้ แต่ก็ยังคงมุมมองในเชิงลบต่อไป
แม้ว่าในระยะสั้นเรายังกังวลถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และตลาดอาจมีการปรับฐานในระยะสั้น แต่เรายังไม่เปลี่ยนมุมมองที่เป็นบวกในระยะกลาง เนื่องจาก 1) เราเชื่อว่า         การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น 2) แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง หรือต้นปีหน้า 3) หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกไม่ฟื้นตัวขึ้นมาดังคาด Fed จะหันมาใช้ QE3 ซึ่งก็เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในเอเชียเช่นกัน และ 4) การปรับลดงบประมาณรายจ่ายของสหรัฐฯ จะทำให้สหรัฐฯ ยังคงต้องใช้นโบยายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป ซึ่งนั้นหมายถึงการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ แต่อัตราดอกเบี้ยเอเชียยังมีแนวนัมปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งนั้นจะนำไปสู่การทำ Dollar carry trade ในระยะต่อไป ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  แม้ว่าเรายังคงมีมุมมองว่าตลาดในเชิงบวกระยะสั้น แต่แนะนำให้จำกัดเงินในการเก็งกำไร หรือทยอยขายทำกำไร เนื่องจากข่าวดีในระยะสั้นใกล้หมดลงแล้ว โดยการเก็งกำไรที่เกิดขึ้นจากนี้อาจเน้นไปที่
Theme ที่ 1: หุ้นที่คาดว่าจะรายงานกำไรออกมาดี และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วยเช่น HMPRO (คาดว่าจะจ่ายปันผล 0.14 บาทต่อหุ้น) MAKRO (4.40 บาทต่อหุ้น) BAFS (0.33 บาทต่อหุ้น) CPF (0.50 บาท) RATCH (1.1 บาทต่อหุ้น) TTW (0.15 บาทต่อหุ้น) ASP (0.07 บาทต่อหุ้น) TUF (0.6 บาทต่อหุ้น) TVO (0.87 บาทต่อหุ้น) KH (0.1 บาทต่อหุ้น) ADVANC (4.00 บาทต่อหุ้น) BEC (0.75 บาทต่อหุ้น) MAJOR (0.35 บาทต่อหุ้น) MCOT (0.9 บาทต่อหุ้น) LPN (0.2 บาทต่อหุ้น) SPALI (0.35 บาทต่อหุ้น) ROJNA (0.30 บาทต่อหุ้น)
Theme ที่ 2:  หุ้นที่มี P/E ถูกและพื้นฐานดี และได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่นหุ้นในกลุ่ม ICT ADVANC DTAC LOXELY AIT SAMTEL SAMART กลุ่มผุ้ประกอบการบ้าน LH AP LPN SPALI กลุ่มสื่อ RS MAJOR กลุ่มประกัน BLA กลุ่ม commercial CPN
Theme 3: หุ้นที่ที่มักมีการเก็งกำไรในช่วงก่อนประกาศจ่ายปันผลเช่น PTTCH CPF TVO DRT GRAMMY TCAP IT และ MCOT อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย
หุ้นแนะนำวันนี้:  SAMTEL RS LOXLEY
กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้สะสมเพิ่มเมื่อ SET index ต่ำกว่า 1050 จุด ตามการปรับประมาณการณ์ขึ้นของนักวิเคราะห์

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 2 ส.ค. 2554

Strategy
แม้ว่าจะมีข่าวดีเรื่องการประกาศผลประกอบการ และเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงข่าวดีเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลและการแถลงนโยบาย แต่เราเชื่อว่าตลาดหุ้นได้รับรู้ข่าวดีนี้ไปแล้วส่วนหนึ่ง ในขณะที่ตลาดจะเริ่มมีผลตอบแทนต่ำลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับความเสี่ยงของตลาดที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็น
 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากสหรัฐฯ ต้องมีการตัดงบประมาณ เพื่อผ่านแผนปรับเพิ่มเพดานหนี้ และตัวเลข PMI ของหลายประเทศทั่วโลกเมื่อวานนี้ก็แสดงการชะลอลงอย่างชัดเจน
2) ปัญหาหนี้ในยุโรปที่พร้อมจะกลับมาทุกเมื่อ และอาจจะลุกลามเพิ่มขึ้น
3) ปัญหาเงินเฟ้อในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย
4) ความเสี่ยงเรื่องการปรับอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ลง ดังนั้นการเก็งกำไรที่เราแนะนำให้ทำได้ถึงต้นเดือนส.ค. คงต้องมีจุด stop loss ประกอบด้วย

แม้ว่าในระยะสั้นยังคงข่าวดีกระตุ้นตลาดได้อยู่ แต่ข่าวดีเหล่านี้กำลังทยอยหมดไป และจะเริ่มหาข่าวดีกระตุ้นตลาดระยะสั้นได้น้อยลง ดังนั้นเรายังคงมุมมองที่ตลาดจะปรับฐานในช่วงครึ่งเดือนหลังเดือนส.ค. ถึงเดือนก.ย. อยู่ โดยเราถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนั้นปัจจุบัน Unrealized gain ของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 14.5% แล้ว ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในช่วง 2 ปีที่ผานมาที่ประมาณ 15% ก่อนจะมีแรงเทขายออกมา ซึ่งสนับสนุนว่าตลาดมีความเสี่ยงที่ใกล้จะถึงจุดขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติออกมา

สำหรับไตรมาสที่ 4 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเราเชื่อว่า   การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง และต้นปีหน้า นอกจากนี้หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกไม่ฟื้นตัวขึ้นมาดังคาด Fed จะหันมาใช้ QE3 ซึ่งก็เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในเอเชียเช่นกัน ในขณะที่การลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ จะทำให้เอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่น่าลงทุนในเชิงเปรียบเทียบ ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  แม้ว่าเรายังคงมีมุมมองว่าตลาดในเชิงบวกระยะสั้น แต่แนะนำให้จำกัดเงินในการเก็งกำไร หรือทยอยขายทำกำไร เนื่องจากข่าวดีในระยะสั้นใกล้หมดลงแล้ว โดยการเก็งกำไรแนะนำหุ้นที่คาดว่าจะรายงานกำไรออกมาดี และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วยเช่น HMPRO (คาดว่าจะจ่ายปันผล 0.14 บาทต่อหุ้น) MAKRO (4.40 บาทต่อหุ้น) BAFS (0.33 บาทต่อหุ้น) CPF (0.50 บาท) RATCH (1.1 บาทต่อหุ้น) TTW (0.15 บาทต่อหุ้น) ASP (0.07 บาทต่อหุ้น) TUF (0.6 บาทต่อหุ้น) TVO (0.87 บาทต่อหุ้น) KH (0.1 บาทต่อหุ้น) ADVANC (4.00 บาทต่อหุ้น) BEC (0.75 บาทต่อหุ้น) MAJOR (0.35 บาทต่อหุ้น) MCOT (0.9 บาทต่อหุ้น) LPN (0.2 บาทต่อหุ้น) SPALI (0.35 บาทต่อหุ้น) ROJNA (0.30 บาทต่อหุ้น) รวมถึงหุ้นที่มี P/E ถูก และมี ROE สูง ซึ่งประกอบไปด้วย AIT CSL LPN MCS RS SPALI STA TASCO และ TTW นอกจากนี้รวมถึงหุ้นที่มักมีการเก็งกำไรในช่วงก่อนประกาศจ่ายปันผลเช่น PTTCH CPF TVO DRT GRAMMY TCAP IT และ MCOT อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย

หุ้นแนะนำวันนี้:  LH CPF RS

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้สะสมเพิ่มเมื่อ SET index ต่ำกว่า 1050 จุด ตามการปรับประมาณการณ์ขึ้นของนักวิเคราะห์

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 1 ส.ค. 2554

Strategy เรายังคงมุมมองเดิมว่าตลาดหุ้นจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของเดือนส.ค. โดยปัจจัยที่สนับสนุนคือ 1) สภาคองเกรสได้ข้อสรุปในการปรับเพดานหนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยแลกกับการที่รัฐบาลต้องตัดขาดดุลงบประมาณลง 1 ล้านล้านเหรียญใน 10 ปี  2) การรายงานผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะออกมาดีกว่าคาด รวมทั้งการประกาศจ่ายปันผลที่จะมีจนถึงกลางเดือนส.ค. และ 3) การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่คาดว่าจะเสร็จก่อนกลางเดือนส.ค. อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรที่เราแนะนำในช่วงต้นเดือนส.ค. คงต้องมีจุด stop loss ประกอบด้วย
แม้ว่าในระยะสั้นยังคงข่าวดีกระตุ้นตลาดได้อยู่ แต่ข่าวดีเหล่านี้กำลังทยอยหมดไป และจะเริ่มหาข่าวดีกระตุ้นตลาดระยะสั้นได้น้อยลง ดังนั้นเรายังคงมุมมองที่ตลาดจะปรับฐานในช่วงครึ่งเดือนหลังเดือนส.ค. ถึงเดือนก.ย. อยู่ โดยเราถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนั้นปัจจุบัน Unrealized gain ของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 13.7% ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดที่ 14-15% ก่อนจะมีแรงเทขายออกมา ซึ่งสนับสนุนว่าตลาดมีความเสี่ยงที่ใกล้จะถึงจุดขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติออกมา
สำหรับไตรมาสที่ 4 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง และต้นปีหน้า นอกจากนี้หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกไม่ฟื้นตัวขึ้นมาดังคาด Fed จะหันมาใช้ QE3 ซึ่งก็เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในเอเชียเช่นกัน ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  แม้ว่าเรายังคงมีมุมมองว่าตลาดในเชิงบวกระยะสั้น แต่แนะนำให้จำกัดเงินในการเก็งกำไร หรือทยอยขายทำกำไร เนื่องจากข่าวดีในระยะสั้นใกล้หมดลงแล้ว โดยการเก็งกำไรแนะนำหุ้นที่คาดว่าจะรายงานกำไรออกมาดี และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วยเช่น HMPRO (คาดว่าจะจ่ายปันผล 0.14 บาทต่อหุ้น) MAKRO (4.40 บาทต่อหุ้น) BAFS (0.33 บาทต่อหุ้น) CPF (0.50 บาท) RATCH (1.1 บาทต่อหุ้น) TTW (0.15 บาทต่อหุ้น) ASP (0.07 บาทต่อหุ้น) TUF (0.6 บาทต่อหุ้น) TVO (0.87 บาทต่อหุ้น) KH (0.1 บาทต่อหุ้น) ADVANC (4.00 บาทต่อหุ้น) BEC (0.75 บาทต่อหุ้น) MAJOR (0.35 บาทต่อหุ้น) MCOT (0.9 บาทต่อหุ้น) LPN (0.2 บาทต่อหุ้น) SPALI (0.35 บาทต่อหุ้น) ROJNA (0.30 บาทต่อหุ้น) รวมถึงหุ้นที่มี P/E ถูก และมี ROE สูง ซึ่งประกอบไปด้วย AIT CSL LPN MCS RS SPALI STA TASCO และ TTW นอกจากนี้รวมถึงหุ้นที่มักมีการเก็งกำไรในช่วงก่อนประกาศจ่ายปันผลเช่น PTTCH CPF TOP TVO DRT GRAMMY TCAP IT MCOT และ PTT อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย

หุ้นแนะนำวันนี้:  CPF KBS MAJOR