วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มุมตอบคำถามครับ

คำถาม จากคุณ Yong Neoken "fund flow ต่างชาติจะไหลไปทางไหนในระยะสั้น ระยะกลาง 3-6 เดือนข้างหน้าครับ ทอง USD EU Asia น้ำมัน หุ้น พันธบัตร เป็นต้น เนื่องด้วยปัจจัยอะไร ครับ"

คำถาม เรื่อง Fund Flow ต่างชาติว่าจะไหลไปทางไหนนะครับ

      ถ้าดูระยะสั้น    ก็ต้องขอบอกว่าโอกาสต่างชาติขนเงินกลับบ้านในช่วงนี้ยังมีอยู่สูงครับ เพราะสถานการณ์ในสหรัฐฯ ยังไม่ค่อยดีด้วยอัตราการว่างงานที่สูงเป็นผลทำให้เงินเฟ้อที่เคยกังวลว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากภาวะที่สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่นอาหาร น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นนั้นลดลงไปได้ครับ (แต่ก็ทำให้นักเศรษฐศาสตร์กลัวที่จะเกิดสภาวะที่ข้าวของแพง แต่อัตราการว่างที่สูง ที่เรียกว่า Stagflation นั่นเองครับ) เหตุผลนี้สำคัญเลยนะครับที่ว่าทำไมช่วงนี้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นทั่วโลกถึงได้ลงหมด และไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยกว่าเช่น ทอง ครับ รวมถึงการกังวลว่าจะหมด QE2 จะทำให้สภาพคล่องในระบบขาดหายไป แต่ต้องขอเรียนว่านี่เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดมหันต์นะครับ QE2 หมดลงเดือนมิถุนายน แต่เงินจะอยู่ในระบบต่อไปจนถึงสิ้นปีครับ!!! หมายความว่า ในระยะกลาง 3 - 6 เดือนข้างหน้า ถ้าให้ผมเป็นนักพยากรณ์ก็คงตอบว่า หุ้นจะขึ้นพรวดๆๆๆ เลยครับ แต่จะไม่รวดเร็วเหมือนปีที่แล้วแน่นอนครับ (ณ วันที่ตอบนี้ เท่าที่ดูคร่าวๆ ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิทั้งหุ้น และพันธบัตร ก็อาจจะแปลความได้ว่าฝรั่งเริ่มมั่นใจในการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะต่างชาติขายมากเกินไป (Shortsell) นั่นแหละครับ ก็เลยต้องทำ CoverShort เสียหน่อย แต่ในระยะกลาง หุ้นในประเทศไทย พื้นฐานดีครับ บางตัวทำ new high record ไปแล้วแต่ราคาหุ้นยังไม่ high เลยครับ หมายความว่ายังไงเอ่ย????

      ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งคือ ปัจจัยการเมืองในประเทศเราครับ ผมไม่เขียนละกันว่าพรรคไหนดีกว่าพรรคไหน แล้วถ้าพรรคไหนขึ้นมาเป็นจะเกิดอะไรขึ้นเพราะมันจะมีผลกระทบกับหุ้นเป็นตัวๆ ไป แต่ถามว่าทั้งตลาดบอกได้เลยว่า อาจจะเกิด sentiment ขึ้นมาในระยะสั้นๆ แต่จะไม่มีนัยยะมากนักในระยะกลาง เพราะถ้าใครที่เคยดูกราฟ หุ้นทั้ง เอเชีย เทียบกับประเทศไทยจะพบว่า มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยยะสำคัญสูงมากครับ ผมจึงยืนยันครับว่าในระยะกลาง ต่างชาติจะยังเห็นประเทศเรามีความน่าสนใจในการลงทุนอยู่ครับ Fund Flow ที่ไหลออกไปในช่วงนี้ก็จะไหลกลับเข้ามาเองครับเมื่อ ปัญหาด้านการเมืองของเรานิ่ง ปัญหาด้านเศรษฐกิจทั้ง ยุโรปและอเมริกาได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และเริ่มฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาวะปกติได้ครับ

       ส่วน ทอง ผมว่าเป็นสินทรัพย์ที่หามูลค่าได้ยากครับ เพราะ 1 ทองไม่มีผลตอบแทนกลับมา หลายคนอาจสงสัยว่า อ้าวเราซื้อทองเอาไปขายต่อก็ได้กำไรนี่ ใช่ครับ ผลตอบแทนครับ แต่มันไม่เหมือนกับการลงทุนในหุ้นที่ผลตอบแทนคือ เงินปันผลครับ และไม่เหมือนปลูกต้นไม้แล้วได้ผลมันมากินนะครับ ซื้อแล้วขายต่อได้เงินเรียกว่า Capital Gain ครับ ถ้าในระยะกลางก็บอกได้ว่า ทองยังอยู่ในช่วงขาขึ้นครับ สิ่งที่พอจะดูเทียบกับ ทองได้ในตอนนี้ก็คือ US Dollar Index ครับ ไว้จะเขียนเรื่องนี้ออกมานะครับ กำลังอยู่ในช่วงรวบรวมความรู้ครับ รวมถึงการถือครองของกองทุน ETFs ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ SPDR ครับ เพราะ ณ ตอนนี้เหมืองทองใหม่ๆ ก็หายากทำให้ Supply จะค่อยๆ น้อยลงและ ทุนสำรองระหว่างประเทศของแต่ละประเทศที่อยู่ในรูปทองก็มีทีท่าจะลดน้อยถอยลงเป็นจำนวนมากครับ ถ้า SPDR ซื้อทองเพิ่มก็จะมีผลให้ราคาทองสูงขึ้นครับ

       ทางด้าน USD ต้องดู US Dollar Index เป็นหลักครับ ถ้า US Dollar Index ลดลงก็ตีความได้ว่า ค่าความนิยม (Demand นั่นแหละครับ) ที่จะถือเงินเป็นสกุลเงินดอลล่าร์จะค่อยๆลดลงครับ คิดว่าปีนี้ค่าเงิน USD ถ้าแปลงค่าเป็นสกุลเงินบาท น่าจะอยู่ในกรอบ 29 - 31 บาทครับ ช่วงนี้ค่าเงินบาทเราอ่อนลงมาก จริงๆมันมีสาเหตุครับ อิอิ ไว้อธิบายใน US Dollar Index ละกันนะครับผม
       ต่อกันด้วยเรื่องของ EU นะครับ อย่างที่ทราบกันครับว่า ณ ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรป เกิดขึ้นจากกลุ่ม PIIGS ซึ่ง ณ วันที่เขียนบล็อกอยู่นี้ตอนกลางคืนก็จะมีปัญหาของประเทศโปรตุเกสว่าจะได้รับการแก้ไขหรือไม่ ซึ่งปัญหา EU จะขออนุญาตเขียนเป็นอีกหนึ่งบทความให้ได้ติดตามกันนะครับ

        ASIA ของเราในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าผู้ลงสมัครเป็นผู้อำนวยการ IMF นางคริสติน ลาการ์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฝรั่งเศส ยังต้องมาเยี่ยมเยือน นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่าเอเชียของเราจะยิ่งมีอิทธิพลอย่างสูงในด้านเศรษฐกิจการเงินของโลก แต่ว่าปัญหาที่ประเทศในทวีปเอเีชียกำลังเจออยู่ในปีนี้รวมถึงไทยด้วย ก็คือ "ปัญหาเงินเฟ้อ" ครับหลังจากที่เศรษฐกิจซบเซาแล้วเริ่มฟื้นตัวได้ เงินเฟ้อก็จะตามมาครับเป็นธรรมดา ซึ่งคิดว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศของเอเชียขึ้น ดอกเบี้ยนโยบาย ถี่สุดแล้วครับ ไตรมาสที่ 4 ก็น่าจะควบคุมปัญหาเงินเฟ้อได้ครับ (มั่นใจใน BOT ของเรา อิอิ)

        Oil สำหรับประเทศเราแล้ว หุ้น PTTEP จะต้องจับตาที่ WTI NYMEX เป็นหลักครับ แม้บ้านเราจะห่างกับ New York ไกลมาก แต่อิทธิพลของพี่กัน ก็มาถึงไทยซะเหลือเกินครับ 55+

        ถ้าตอนนี้ปัจจัยของน้ำมันที่ต้องจับตาก็คือ คนขายครับ พี่แขกๆ ของเราเนี่ยแหละ กำหนดกันจังว่าจะผลิตซักเท่าไหร่ มากน้อยอย่างไร คราวนี้กระเทือนไปทั่วโลกซิครับ เมื่อพี่ใหญ่ ซาุอุฯออกมาพูดแล้วว่า "อีนี่ ฉันจาเพิ่มกำลังการผลิต ใครไม่ใคร่ขาย ฉานจาขายให้เอง" คราวนี้กลุ่ม OPEC ก็สะเทือนซิครับ ราคาน้ำมันเลยวิ่งอย่าง งงๆ ไหนจะเจอ CBOT ตลาดที่คุมโภคภัณฑ์ของอเมริกาออกมาพูดอีกว่าจะเพิ่ม Margin โภคภัณฑ์ต่างๆ คราวนี้ราคาดัชนีน้ำมัน ทอง รวมถึง Silver น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ วิ่งซะปวดหัวเลยครับ ก็หวังว่าจะกระจ่างกันมากขึ้นนะครับ ถ้าใครยังสงสัยไม่ต้องกลัวครับ จะแจกแจงให้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ ^ ^

        ขออนุญาตติดค้าง stock และ bond ไว้นะครับ จะเขียนตอบเป็นบทความเลยครับ

        เจอคำถามที่ถามเข้าไป ยอมรับเลยครับว่าพยายามหาคำตอบให้กระชับที่สุด และค่อยๆตีหัวแพร่ออกมาเรื่อยๆ ครับ อาจจะไม่ครบทุกปัจจัย นะครับ แต่จะชี้กระจ่างให้ทุกคนเห็นภาพให้ได้มากที่สุด หวังว่าทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้จะไม่สับสนไปกับข้อความที่ผมสื่อลงไปนะครับ 555+
         ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะครับ :D
      
      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น