วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Poker's View Point :)

ใครเคยเล่น Poker บ้างครับ??? :>
วันนี้ผมแอบเล่น poker ในชั่วโมงงานครับ 555 จริงๆแอบเล่นมา อาทิตย์กว่าแล้วครับ แต่พอดีว่าเพิ่งจะปล่อยไพ่วันนี้ครับ :)




จริงๆก็คือเรื่องหุ้นแหละครับ เคยคิดมั้ยครับว่าถ้าเรารู้ไพ่คนอื่นก็คงดีนะ ซึ่งในโลกของการพนัน คงเป็นไปไม่ได้เพราะคงโดนเพื่อนร่วมวง ฆ่าตาย ใช่มั้ยครับ อิอิ

แต่ในโลกของการลงทุนทำได้ครับ ทำยังไงล่ะ? ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือดูว่าวันไหน Volume ของหุ้นตัวนั้นปูดขึ้นมา ก็เป็นไปได้ครับที่เจ้า (ตายแหละ เล่นหุ้นก็มีเจ้า) จะเข้าไปเก็บหุ้นของตัวเองครับ ซึ่งถ้าเราสามารถตาม volume ของหุ้นได้เก่งๆ (ถ้าเป็น น้องเม่าแนะนำให้ ตามพวก Most Active Volume) ก็จะพบว่าที่จริงแล้ว เรื่องเจ้ามือนี่ดูง่ายนิดเดียวจริงๆ แล้วเก็บตัวเลขเหล่านี้ไว้ในใจ แล้วชูมือขึ้นมา 2 นิ้ว เอ๊ย!!!!

แล้วก็พยายามแกะรอยต่อไปว่าพฤติกรรมเค้าเป็นยังไง ซื้อ-ขาย เวลาไหน เชื่อมั้ยครับว่าหุ้นทุกตัวมีเวลาในการซื้อขายของมัน!!! แน่นอนครับว่าอาจจะไม่ตรงกันทุกวัน แต่บางทีผมก็รู้ว่า หุ้นตัวนี้ถ้าเลยเวลานี้ไปแล้ว มันก็หมดรอบของมัน (ระหว่างวัน) แล้วครับ

ไว้ถ้าคิดอะไรออกจะเอามาอธิบายเพิ่มเติมครับ :)

ปล. แปลกแต่จริงนะครับ เล่นหุ้น แต่ได้ดูไพ่ชาวบ้าน เนี่ยยยยยยยยย สรุปการพนันหรือการลงทุนหว่าาาาาา อิอิ แต่วันนี้หน้าบานเยย ขายเย้ยเจ้าได้ อิอิ

คำเตือน! การเล่นหุ้น(ปั่น)มีความเสี่ยง นักลงทุน(ที่รักความเสี่ยง) ควรให้ความสนใจกับข้อมูลต่างๆ ให้มาก ไม่งั้นจะติด ด อ ย ได้นะ จ๊ะ อิอิ

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

EARNINGS !!!!

เอามาวางๆ ไว้ก่อนนะครับ แล้วจะอัพเดทให้อีกทีนึงครับ


คาดการณ์บริษัทจดทะเบียน จะประกาศผลประกอบการออกมา
DateStockNet Profit
Full Year 2011
Net Profit
Q2 2011 
26-ก.ค.TPC                               2,154                           803
27-ก.ค.SCC                              35,202                        7,516
28-ก.ค.BIGC                               3,595                           607
28-ก.ค.PTTEP                              46,625                      11,969
29-ก.ค.IRPC                              10,838                        2,324
29-ก.ค.PTTCH                              21,902                        6,234
29-ก.ค.PTTAR                                2,774                     14,989
29-ก.ค.BLS                                   469                          109
1-ส.ค.TTW                               2,207                           531
4-ส.ค.LPN                               1,925                           550
4-ส.ค.ADVANC                              23,845                        5,979
5-ส.ค.TUF                               4,076                        1,135

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Sector Media

กลุ่มสื่อ (Media) 

สำหรับหุ้นกลุ่มสื่อนั้น เป็นกลุ่มที่เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจครับ (หุ้น Cyclical) น่าแปลกใจนะครับที่ จริงๆแล้ว ผมก็มองว่า มันน่าจะเป็นกลุ่มที่เป็น Defensive ที่ดีกลุ่มหนึ่งครับ แต่เนื่องจากว่าถ้าพิจารณาว่ารายได้ของธุรกิจพวกนี้หาได้จากอะไร? ก็ต้องยอมรับครับว่ามาจาก สปอนเซอร์ ในรูปโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกับสื่อทางโทรทัศน์ฟรีทีวี เช่น ช่อง 3 ช่อง7 ครับ ซึ่งจริงๆ ก็มีปลีกย่อย รายละเอียดให้น่าศึกษากันเยอะครับ เช่น ช่องฟรีทีวี นอกจากเก็บค่าโฆษณาเป็นหลักแล้วก็มีการให้เช่าช่วงเวลากับผู้จัดครับ เช่นช่อง 3 ให้ช่วงเวลากับผู้จัดละคร บริษัทต่างๆที่เราเห็นในตอนที่ละครมานั่นแหละครับ (แต่จริงๆแล้วช่อง 3 มีความน่าสนใจมากกว่านั้นครับ เป็นหนึ่งในหุ้นที่ผมเก็บไว้ในดวงใจตลอดเวลาครับ เพราะเป็นหุ้นที่ผมนำไป Present ตอนสมัครงานครับ 555)

เริ่มนอกเรื่องอีกแหละ จริงๆ อย่างที่บอกครับว่า Media จะเป็นหุ้นที่ตามเศรษฐกิจเพราะ ตัวสำคัญคือ ธุรกิจกลุ่มนี้จะใช้เม็ดเงินโฆษณาอย่างมหาศาลครับ บางคนอาจจะเคยได้ยินว่า โฆษณาออกอากาศนาทีละ เป็น 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาท) อันนี้จริงครับ ถามว่าแพงมั้ย? แล้วถ้าสามารถสื่อให้คนซัก 5% ของประเทศได้ชมกัน คุณคิดว่าดีมั้ยล่ะครับ?

... เกือบ 3 ล้านคนเลยนะครับ โอ้ว เฉลี่ยแค่นาทีละ 0.03 สตางค์ต่อคน กลายเป็นราคาถูกเลยทีเดียว :)

แล้วถามว่าในกลุ่มนี้มีหุ้นอะไรบ้าง ผมขอแค่เอ่ยถึงที่หุ้นที่มีชื่อเสียงในกลุ่มนี้ ละกันนะครับ

1. BEC แน่นอนครับ Market Cap สูงที่สุดในกลุ่มนี้ หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า "หุ้นช่อง 3" นั่นแหละครับ ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็คือกลุ่มผู้บริหารของช่องนั่นเองครับ "ตระกูลมาลีนนท์" นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมชอบหุ้นตัวนี้ครับ เพราะพูดง่ายๆ คือคุณเอากิจการของครอบครัวมาเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์ พวกเขาก็ไม่น่าจะยอมให้เกิดความผิดพลาดในธุรกิจของตระกูลหรอกครับ จริงๆก็มีบริษัทย่อยอีกเยอะในครับ เช่น Virgin, Thai ticket major เป็นต้นครับ

2. MCOT "หุ้นช่อง 9" เป็นหุ้นที่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization) ตัวหนึ่งในยุคของท่านอดีตนายกฯของเรานั่นเองครับ (ถ้าจำได้ก็ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ยังเป็นผู้อำนวยการช่องอยู่อ่ะครับ อิอิ) MCOT ได้ประโยชน์ข้อสำคัญคือ เป็นเหมือนตัวแทนของรัฐบาลครับ ทำให้สัมปทานต่างๆ ที่จะให้กับธุรกิจทางโทรทัศน์ก็จะมีองค์กรสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ก็ MCOT เนี่ยแหละเป็นหน่วยงานที่มอบหมายให้ครับ (สัมปทาน เป็นหนึ่งในต้นทุนของ ธุรกิจสื่อทั้งโทรทัศน์ วิทยุครับ :> )

Blogger เลยขอเอา เม็ดเงินโฆษณาที่ใช้ในสื่อต่างๆ มาโพสต์ให้เพื่อนๆ ได้ชมกันครับ

ขอบคุณหน่วยงานที่เก็บข้อมูลพวกนี้ก็คือ Nielsen Media Research ครับ และก็ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย เช่นเคยครับ

ไว้จะมาต่อเรื่องข้อมูลจากในตารางและ อัพเดทผลประกอบการนะครับ นั่งทำอยู่ 3 ชั่วโมง เหอะๆ สุดๆ = ="

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เมื่อ SET Index Break High!!!

ถ้าใครสนใจ สาย Technical จอมดูกราฟ ทั้งหลายรู้สึกยังไงบ้างครับ??


:) ยิ้มกันเลยทีเดียว แต่ในมุมมองผม รู้สึกว่ามันจะ SET Index จะ Break new high เร็วไป 2 - 3 วันทำการครับ !!!!
แล้วถ้าใครสังเกต เส้นสีฟ้าสั้นๆ 2 เส้น จะเห็นว่า คล้ายกันใช่มั้ยครับ?

แน่นอนครับ เพราะผมใช้เครื่องมือ Technical ชิ้นสำคัญเลยคือ Parallel นั่นเอง!!! (ก็บังคับให้มันขนานกัน มันก็ต้องคล้ายกันซิครับ อิอิ) ถ้าใครมาสังเกตช่วงเวลาที่เกิดจะเห็นว่ามันก็คือ ซ้ำรอยกันในช่วงเดือน มีนาฯ ถึงเมษา และ กรกฎา ถามว่าเพราะเหตุใดล่ะ?

ตอบง่ายนิดเดียวครับ ประกาศผลประกอบการนั่นเอง อิอิ เห็นมั้ยครับว่าทำไม Blogger ถึงได้เน้น เรื่อง ผลประกอบการจริงๆ เพราะมันเป็น Key Driver ที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งของตลาดหุ้นไทยครับ (ณ ตอนนี้นะ) ถึงแม้สองช่วงเวลาจะมีเรื่องเกิดขึ้นไม่ซ้ำกันคือ เดือนนี้มีเหตุการณ์หนี้ยุโรป และการเพิ่มเพดานหนี้ของอเมริกา แต่ Blogger ก็ยังเชื่อว่า ตลาดจะไปได้อีกสักพักจนกว่าจะถึงวันตัดสิน หนี้ของสหรัฐ ครับ (2 สค) แล้วถ้าหลังจากนั้นละ!!! บริ๋ยยยยยส์ ไม่อยากจะคิดเลยยย

กลยุทธ์การลงทุนประจำวันที่ 22 กรกฏาคม 2554

      ข่าวดียังเหลืออยู่ แต่น้อยลงเรื่อยๆ  
          ข่าวดีต่างๆ ที่เรารอคอยเริ่มทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งในไทยและสหรัฐที่ออกมาดีอย่างต่อเนื่อง และการแก้ปัญหาหนี้กรีซที่ได้ข้อสรุป และเรายังเชื่อว่าจะยังมีข่าวดีรออยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็น
1) การรายงานผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยที่คาดว่าจะออกมาดีกว่าคาด รวมทั้งการประกาศจ่ายปันผล
2) การเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ภายในวันที่ 2 ส.ค. นี้
และ 3) การแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ ดังนั้น ทำให้เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นอยู่จนถึงต้นเดือนส.ค. อย่างไรก็ตามหากข่าวดีต่างๆ เหล่านี้กำลังจะทยอยหมดไป และจะเริ่มหาข่าวดีกระตุ้นตลาดระยะสั้นได้น้อยลง
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: 
 เรายังคงมีมุมมองว่าตลาดยังมีโอกาสซิกแซกขึ้นได้ต่อ ในระยะสั้น โดยมีเป้าหมาย SET ที่ 1113  หรือขึ้นได้จนถึงต้นเดือนส.ค. นี้ ก่อนที่จะแรงขายทำกำไรออกมา โดยแนะนำหุ้นขนาดใหญ่และกลางซึ่งเป็นเป้าหมายของต่างชาติ และยังค่อนข้าง laggard เช่น PTT PTTEP LH AP MINT MCOT รวมถึงหุ้นที่คาดว่าจะรายงานกำไรออกมาดี และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วยเช่น HMPRO (คาดว่าจะจ่ายปันผล 0.14 บาทต่อหุ้น) MAKRO (4.40 บาทต่อหุ้น) BAFS (0.33 บาทต่อหุ้น) CPF (0.50 บาท) RATCH (1.1 บาทต่อหุ้น) TTW (0.15 บาทต่อหุ้น) ASP (0.07 บาทต่อหุ้น) TUF (0.6 บาทต่อหุ้น) TVO (0.87 บาทต่อหุ้น) KH (0.1 บาทต่อหุ้น) ADVANC (4.00 บาทต่อหุ้น) BEC (0.75 บาทต่อหุ้น) MAJOR (0.35 บาทต่อหุ้น) MCOT (0.9 บาทต่อหุ้น) TPC (0.5 บาทต่อหุ้น) LPN (0.2 บาทต่อหุ้น) SPALI (0.35 บาทต่อหุ้น) ROJNA (0.30 บาทต่อหุ้น) อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย
หุ้นแนะนำวันนี้:  MCOT LOXLEY TICON CPF

External Factor

ดัชนี DJ พุ่งขึ้น 152.50 จุด หรือ 1.21% ปิดที่ 12,724.41 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 17.96 จุด หรือ  1.35% ปิดที่ 1,343.80 จุด ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 20.20 จุด หรือ 0.72% ปิดที่ 2,834.43 จุด  โดยในช่วงครึ่งแรกของการซื้อขาย ตลาดปรับตัวขึ้นขานรับข่าวที่ว่านายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคล ของเยอรมนี และประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ของฝรั่งเศส บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินรอบใหม่กับกรีซ ส่วนในช่วงบ่ายตลาดปรับตัวสูงขึ้นอีก ขานรับข่าวที่ว่า ที่ประชุมฉุกเฉินของผู้นำยุโรปมีมติให้ความช่วยเหลือด้านการเงินรอบที่ 2 สำหรับกรีซ ด้วยวงเงินรวม 1.09 แสนล้านยูโร ขณะเดียวกัน ผู้นำยุโรปมีแผนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินต้นให้กับกรีซ เหมือนกับที่เคยให้ไอร์แลนด์และโปรตุเกสมาแล้ว นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้นำยุโรปยังเพิ่มสิทธิอำนาจให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ให้สามารถจัดหาเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหาด้านการเงินก่อนที่จะเกิดวิกฤติ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะถอนรากถอนโคนปัญหาหนี้ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มการเงินก็ได้รับแรงหนุน หลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ดีเกินคาด ขณะที่ Keefe Bruyette & Woods ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านการธนาคารระบุว่า ในบรรดาธนาคาร 30 แห่งที่มีการเปิดเผยผลประกอบการนั้น มีธนาคารถึง 24 แห่งที่มีผลประกอบการที่ดีเกินคาด

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนประจำวันที่ 21 กรกฏาคม 2554

ยังลุ้น hi เดิมที่ 1113 จุด

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: เรายังคงมีมุมมองว่าตลาดยังมีโอกาสซิกแซกขึ้นได้ต่อ ใน
ระยะสั้น โดยมีเป้าหมาย SET ที่ 1113 (ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1100) ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ลด
พอร์ตอีกครั้งหนึ่ง ส่วนกระแสการเก็งกำไรนั้น เราเชื่อว่าตลาดจะเริ่มหันมาเก็งกำไรหุ้น
กลุ่มที่มิใช่สถาบันการเงินมากขึ้น หลังจากหมดข่าวดีเรื่องผลประกอบการธนาคาร
โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยแนะนำหุ้นขนาดใหญ่และกลาง ที่ยังค่อนข้าง laggard
เช่น PTT PTTEP LH AP MINT MCOT รวมถึงหุ้นที่คาดว่าจะรายงานกำไรออกมาดี และมี
การจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วยเช่น HMPRO (คาดว่าจะจ่ายปันผล 0.14 บาทต่อหุ้น)
MAKRO (4.40 บาทต่อหุ้น) BAFS (0.33 บาทต่อหุ้น) RATCH (1.1 บาทต่อหุ้น) TTW
(0.15 บาทต่อหุ้น) ASP (0.07 บาทต่อหุ้น) TUF (0.6 บาทต่อหุ้น) TVO (0.87 บาทต่อหุ้น)
KH (0.1 บาทต่อหุ้น) ADVANC (4.00 บาทต่อหุ้น) BEC (0.75 บาทต่อหุ้น) MAJOR
(0.35 บาทต่อหุ้น) MCOT (0.9 บาทต่อหุ้น) TPC (0.5 บาทต่อหุ้น) LPN (0.2 บาทต่อหุ้น)
SPALI (0.35 บาทต่อหุ้น) ROJNA (0.30 บาทต่อหุ้น) อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด
stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย
หุ้นแนะนำวันนี้: LOXLEY TVO PTT
กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยง
ในช่วงไตรมาสที่ 3/54 แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป
1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกา

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มีโอกาสสูงไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 1113

Daily view:

1. ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยและสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่คาด ยังคงเป็นประเด็นหลักสนับสนุนการปรับขึ้นของตลาดหุ้นอยู่
2. ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า วุฒิสมาชิก 6 คนของสหรัฐให้การสนับสนุนแผนของโอบามาในการลดงบประมาณการใช้จ่าย 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า และการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาล ทำให้เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นอยู่
3. ข่าวดีจากนี้ไปคือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ที่คาดว่าจะออกมาดีกว่าคาด รวมถึงข่าวการจัดตั้งรัฐบาล และการแถลงนโยบาย ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นในกลุ่มบริการ

นอกจากนั้นเราเชื่อว่าก่อนถึงวันที่ 2 ส.ค. สภาคองเกรสและรัฐบาลสหรัฐฯ จะสามารถตกลงกันได้เรื่องการเพิ่มเพดานหนี้

สำหรับตลาดในระยะกลางเรายังกังวลถึงปัญหาหนี้ในยุโรปที่อาจจะลุกลามออกไปประเทศใหญ่อื่นๆ ทั้งประเทศอิตาลี สเปน ปัญหาเงินเฟ้อในจีน รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะยังคงจำกัด upside ของตลาดหุ้น เราจึงยังมองว่า SET index จะเคลื่อนไหวในลักษณะ sideway up โดยยังมองว่าไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับฐานลงได้อยู่ โดยมี Downside risk ของตลาดหุ้นไว้ที่ 1013 ซึ่งการปรับฐานอาจจะเกิดขึ้นในเดือนส.ค.
สำหรับไตรมาสที่ 4 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง และต้นปีหน้าสำหรับของประเทศไทย หรือหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกไม่ฟื้นตัวขึ้นมาดังคาด Fed จะหันมาใช้ QE3 ซึ่งก็เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในเอเชียเช่นกัน

ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  เรายังคงมีมุมมองว่าตลาดยังมีโอกาสซิกแซกขึ้นได้ต่อ ในระยะสั้น โดยมีเป้าหมาย SET ที่ 1113 (ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1100)  ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ลดพอร์ตอีกครั้งหนึ่ง ส่วนกระแสการเก็งกำไรแม้ว่าจะยังคงอยู่ในหุ้นกลุ่มธนาคาร แต่เราเชื่อว่าตลาดจะเริ่มหันมาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มที่มิใช่สถาบันการเงินมากขึ้น หลังจากหมดข่าวดีเรื่องผลประกอบการธนาคาร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยแนะนำหุ้นขนาดใหญ่และกลาง ที่ยังค่อนข้าง laggard เช่น PTT PTTEP LH AP MINT MCOT รวมถึงหุ้นที่คาดว่าจะรายงานกำไรออกมาดี และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วยเช่น HMPRO (คาดว่าจะจ่ายปันผล 0.14 บาทต่อหุ้น) MAKRO (4.40 บาทต่อหุ้น) BAFS (0.33 บาทต่อหุ้น) RATCH (1.1 บาทต่อหุ้น) TTW (0.15 บาทต่อหุ้น) ASP (0.07 บาทต่อหุ้น) TUF (0.6 บาทต่อหุ้น) TVO (0.87 บาทต่อหุ้น) KH (0.1 บาทต่อหุ้น)  ADVANC (4.00 บาทต่อหุ้น) BEC (0.75 บาทต่อหุ้น) MAJOR (0.35 บาทต่อหุ้น) MCOT (0.9 บาทต่อหุ้น) TPC (0.5 บาทต่อหุ้น) LPN (0.2 บาทต่อหุ้น) SPALI (0.35 บาทต่อหุ้น) ROJNA (0.30 บาทต่อหุ้น) อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย

หุ้นแนะนำวันนี้:  PTT LH STEC

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 18 ก.ค. 2554

Earnings Season Begin
หยุดทำการไป 3 วันเป็นไงกันบ้างครับ ผู้อ่านทุกท่าน (ปล จริงๆวันนี้ หลายๆท่านก็ยังคงหยุดอยู่ อิจฉาจริงๆ >_< ) จริงๆ วันพฤหัสตอนเย็นและวันศุกร์ที่ตลาด DJIA เปิดทำการแต่ก็ไม่มีผลอะไรมากมายครับ ตลาดหุ้นค่อนข้างนิ่งๆ เชียว :>

Daily View


คาดว่าตลาดยังคงประเด็นบวกให้เก็งกำไรได้ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น
1) ผลประกอบการของบริษัทสหรัฐฯ  โดยที่ผ่านมาประกาศออกมาดีกว่าที่คาด เช่น google citgroup และ JP Morgan
 2) ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารไทยที่คาดว่าจะออกมาดีเช่นกัน
 3) การจัดตั้งรัฐบาล และการแถลงนโยบาย และ
 4) การผ่านแผนเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ซึ่งเราเชื่อว่าก่อนถึงวันที่ 2 ส.ค. สภาคองเกรสและรัฐบาลสหรัฐฯ จะสามารถตกลงกันได้

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากผลการทำ stress test ที่มีเพียงธนาคาร 8 แห่งในยุโรป ที่ไม่ผ่าน น้อยกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เดิม (แต่ก็ีมีนักวิเคราะห์ออกมาให้มุมมองเพิ่มเติมว่า เป็นเพราะ ปัจจัยที่เอามาทดสอบนั้น ค่อนข้างจะเบาเิกินไป จึงทำให้มีหลายธนาคารที่รอดพ้นมาได้)

สำหรับตลาดในระยะกลางเรายังกังวลถึงปัญหาหนี้ในยุโรปที่อาจจะลุกลามออกไปประเทศใหญ่อื่นๆ ทั้งประเทศอิตาลี สเปน ปัญหาเงินเฟ้อในจีน รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะยังคงจำกัด upside ของตลาดหุ้น เราจึงยังมองว่า SET index จะเคลื่อนไหวในลักษณะ sideway up โดยยังมองว่าไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับฐานลงได้อยู่ โดยมี Downside risk ของตลาดหุ้นไว้ที่ 1013 ซึ่งการปรับฐานอาจจะเกิดขึ้นในเดือนส.ค.

สำหรับไตรมาสที่ 4 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง และต้นปีหน้าสำหรับของประเทศไทย หรือหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกไม่ฟื้นตัวขึ้นมาดังคาด Fed จะหันมาใช้ QE3 ซึ่งก็เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในเอเชียเช่นกัน ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด


เรายังคงลุ้นตลาด rebound ระยะสั้นในสัปดาห์นี้ โดยมีเป้าหมาย SET ที่ 1100 ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ลดพอร์ตอีกครั้งหนึ้ง หุ้นที่เป็นกระแสในการเก็งกำไรช่วงนี้คือ
1. หุ้นกลุ่มธนาคารที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการออกมาดี (KTB SCB)
2. กลุ่มอื่นๆ ที่คาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วยเช่น
2.1 HMPRO (คาดว่าจะจ่ายปันผล 0.14 บาทต่อหุ้น, ผลตอบแทน 1.6%)
2.2 MAKRO (4.40 บาทต่อหุ้น, 2.1%)
2.3 BAFS (0.33 บาทต่อหุ้น, 2.8%)
2.4 RATCH (1.1 บาทต่อหุ้น, 2.6%)
2.5 TTW (0.15 บาทต่อหุ้น, 2.7%)
2.6 ASP (0.07 บาทต่อหุ้น, 2.6%)
2.7 TUF (0.6 บาทต่อหุ้น, 1.2%)
2.8 TVO (0.87 บาทต่อหุ้น, 3.5%)
2.9  KH (0.1 บาทต่อหุ้น, 1.7%)
2.10 ADVANC (4.00 บาทต่อหุ้น, 3.5%)
2.11 BEC (0.75 บาทต่อหุ้น, 2.0%)
2.12 MAJOR (0.35 บาทต่อหุ้น, 2.2%)
2.13 MCOT (0.9 บาทต่อหุ้น, 3.0%)
2.14  TPC (0.5 บาทต่อหุ้น, 1.7%)
2.15 LPN (0.2 บาทต่อหุ้น, 1.9%)
2.16 SPALI (0.35 บาทต่อหุ้น, 3.0%)
2.17  ROJNA (0.30 บาทต่อหุ้น, 3.0%)
อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย
หุ้นแนะนำวันนี้:  KTB MCOT ROJNA

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผลประกอบการ Q2 มาแล้ว!!!! (Sector Bank)

จริงๆ ก็เกริ่นหัวให้เว่อร์แหละครับ แต่ถ้าใครสงสัยว่าทำไม Blogger ถึงให้ความสนใจกับผลประกอบการเหลือเกิน

ก็ต้องยอมรับครับว่า อาชีพ Broker เนี่ย อยู่กับตัวเลขทุกวันครับ แล้วผลประกอบการก็จะเป็นตัวชี้ให้เราเห็นว่าบริษัทฯที่ เราอุตส่าห์แนะนำลูกค้า ติดตามอ่านงบ ฟันธงราคาให้ซื้อ (ไม่กลัวหน้าแหกเลยเนี่ย) จะเป็นไปตามที่ข้อมูลที่เรามีหรือไม่

หลายคนอาจจะสงสัยนะครับว่า งั้นอาชีพ ผู้ตรวจสอบบัญชีก็น่าจะได้เปรียบซิ เพราะเขาจะรู้งบก่อนเพื่อน ก็ต้องชี้แจงเลยนะครับว่า ใช่และไม่ใช่ ครับ!!! ใช่คือ เขาจะรู้งบก่อนอาชีพอื่นจริงครับ แต่ก็ไม่ใช่ เช่นกันเพราะว่าตลาดก็จะมีการคาดการณ์ผลประกอบการไว้ครับ (นั่นแหละเลยทำให้เกิด อาชีพ นักวิเคราะห์ ไงครับ) แปลง่ายๆนะครับ คือ ไม่ว่าอาชีพไหนก็ไม่สามารถจะเอาชนะตลาดโดยอาศัยข้อมูลภายในได้ง่ายๆหรอกครับ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี (นักวิเคราะห์ขั้นเทพเนี่ย คาดการณ์งบฯของบริษัทที่จะออกมา คลาดเคลื่อนไม่เกิน +/- 5% ครับ เก่งจริงๆ)

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ Blogger สงสัยนะครับ ว่าข้อมูลที่นักวิเคราะห์แต่ละบล ได้มา ไม่ค่อยแตกต่างกันมากหรอกครับ คล้ายคลึงกันไปหมดด้วยซ้ำ แต่ราคาหุ้นที่เหมาะสม (Fair Price) ไม่เคยเท่ากันเลย ก็น่าสนใจดีฮะ ถ้าใครมีเวลาก็ลองเข้าไปอ่านวิธีวิเคราะห์ของ โบรกฯ แต่ละ โบรกฯ ละกันนะครับ อิอิ

ท้าวความมาตั้งนาน จริงๆ ก็อยากจะพูดถึงตารางเล็กๆ ที่ Blogger ไปเก็บมา อ่ะครับ แน่นอนว่ามันจะยังไม่เสร็จจนกว่าข้อมูลที่แท้จริงจะออกมาครับ แต่ก็ถือว่า Blogger ทำเอามันละกัน แล้วก็เป็น watch list ให้ได้ตามมาอัพเดทในภายหลังนะครับ จะขอเริ่มจากกลุ่ม ธนาคารละกัน เพราะกลุ่มนี้จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปทั่วโลกเลยครับว่าจะแจ้งผลประกอบการออกมาเร็วที่สุดกลุ่มหนึ่งเลยทีเดียว

ปล. ว่างๆจะอัพเดทเรื่องที่เกริ่นไว้ใน Facebook นะครับ ช่วงนี้ไม่ว่างจริงๆครับ แค่นั่งอ่านเรื่องมหภาค อย่างเดียวตอนนี้ยังปวดหัวเลยครับ ข้อมูลเยอะเกิน = ="







นอกจาก บทวิเคราะห์ของหลักทรัพย์ที่ Blogger ทำงานแล้วก็ขออนุญาตเอาข้อมูลจาก Bloomberg Consensus มาใช้ควบคู่นะครับ เพื่อให้เห็นภาพประกอบกันไป :)

-

อันนี้ อัพเดทเพิ่มเติมครับ ข้อมูลกำไรที่ประกาศออกมาแท้จริง





สำหรับธนาคาร TISCO ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วครับ ซึ่งที่ออกมาก็ถือว่าใช้ได้ครับ เพราะ TISCO จะเป็นธนาคารที่เน้นด้าน การเช่าซื้อ (Leasing) ครับ จะมีผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มากระทบพอสมควรเพราะไม่ใช่ธนาคารขนาดใหญ่ จึงมีผลในการแข่งขันได้ครับ แต่เมื่อมองย้อนหลังไป (มองจากงบประกอบการ ไง) ก็ถือว่าธนาคาร TISCO มีความสามารถในการแข่งขันได้ดีพอสมควรครับ ไว้จะอัพเดท ข้อมูลที่ออกมานะครับ จะได้เป็นการทดสอบด้วยว่าที่นักวิเคราะห์มองนั้น คาดการณ์ได้แม่นยำเพียงใดครับ

ส่วนธนาคาร KK หรือ เกียรตินาคิน นะครับ ก็ยังเป็นธนาคารที่อยู่ในกลุ่ม Leasing เป็นหลักครับ โดยที่เมื่อลงรายละเอียดลงไปก็พบว่า
- รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของ KK เพิ่มขึ้นสูงทั้ง QoQ(4.1%) และ YoY (14.7%)
- สินเชื่อโต (+6% QoQ) และเงินลงทุนก็โต (+38% QoQ)

- Net Interest Margin  หรือในบทวิเคราะห์จะเรียกว่า NIM ถ้าให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินกู้ (รายได้) กับ ดอกเบี้ยเงินฝาก (รายจ่ายของธนาคาร) ลดลง 31 Basis Point ซึ่งถือว่าเป็นปกติของกลุ่มธนาคารในปีนี้ครับที่ธนาคารขนาดกลางจะต้องยอมลดส่วนต่างตรงนี้ลง เพื่อสู้กับธนาคารขนาดใหญ่ครับ

ส่วนสุดท้ายครับ KBANK ไม่ขอกล่าวมากละกันนะครับ (จริงๆ ไตรมาส 2 KBANK ปรับตัวดีมากครับ น่าจะดีที่สุดในกลุ่มธนาคารเลยครับ เพียงแต่ว่า มันจะขัดกับหลักธรรมาภิบาลที่ดีครับ ทำงานบริษัทในเครือกล่าวมากไม่ได้ครับ ก็เลยขอกล่าวตามที่ธนาคาร ออกมาประกาศละกันนะครับ)

KBANK มีความน่าสนใจในผลประกอบการที่โชว์ออกมาครับ กำไร 7.3 พันล้านบาท เน้นว่า กำไรครับ!! ไม่ใช่รายได้นะครับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 เกือบ 20% และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 42.29% ส่วน NIM แตะ 3.56% รับกับดอกเบี้ยขาขึ้น (แน่นอนครับว่ารายได้่ของธนาคารจะเพิ่มขึ้นครับ) และจากการที่ได้รายได้เบี้ยประกันภัยที่เพิ่มขึ้น (จากการรวม เมืองไทยประกันชีวิตและเมืองไทยประกันภัย) ทำให้งบ 1H2011 โต 45.23% จุดเด่นของ KBANK อย่างหนึ่งคือ การที่สามารถรวมบริษัทย่อยในองค์กร

TMB เป็นธนาคารที่ laggard ที่สุดในกลุ่มธนาคารครับ สะท้อนผลประกอบการที่ออกมาแย่กว่าที่คาด
ส่วน SCB กับ BAY จะขอกล่าวถึงในภายหลังนะครับ

Blog นี้เราจะเป็น Watch List ให้คุณนะครับ :)

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนประจำวันที่ 13 กรกฏาคม 2554

รีบาวด์ระยะสั้น บนความเสี่ยงระยะกลางที่เพิ่มขึ้น

ตลาดยังคงกังวลว่าปัญหาหนี้ในยุโรปจะลุกลามออกไปประเทศใหญ่อื่นๆ ทั้งประเทศอิตาลี สเปน หลังจากมูดีส์ประกาศลดอันดับเครดิตของประเทศไอร์แลนด์สู่ระดับขยะ ต่อจากประเทศกรีซ พร้อมเสริมว่าไอร์แลนด์อาจต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินอีกรอบ นอกจากนี้มูดีส์มีแนวโน้มว่าจะปรับลดอันดับเครดิตธนาคารอิตาลีอีก ซึ่งเราเชื่อว่าปัญหาหนี้ในยุโรปจะต่อเนื่องไปอีก 1-2 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ตลาดยังกังวลว่าสหรัฐฯ ยังไม่อาจบรรลุข้อตกลงการเพิ่มเพดานหนี้ได้ ซึ่งเราคาดว่าในที่สุดคงจะบรรลุข้อตกลงกันได้ แต่อาจแลกมาด้วยการตัดงบประมาณลงตามข้อเรียกร้องของสภาคองเกรส ซึงปัจจัยดังกล่าวจะยังคงกดดันตลาดต่อไปในระยะกลาง แต่ในระยะสั้นตลาดหุ้นได้รับรู้ข่าวดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว ดังนั้นตลาดระยะสั้นคงนิ่งขึ้น และรอลุ้นผลประกอบการของสหรัฐฯ และผลประชุมของ EU ในวันศุกร์นี้ รวมถึงการกล่าวถึง QE3 ว่าอาจจะนำมาใช้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวช้าเกินไปจนไม่สามารถฉุดอัตราว่างงานให้ลดลงได้
สำหรับมุมมองในระยะกลาง เรายังคงมุมมองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ว่าจะเป็นไปในลักษณะ sideway up โดยยังมองว่าไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับฐานลงได้อยู่ โดยเรามอง Downside risk ของตลาดหุ้นไว้ที่ 1013 ซึ่งการปรับฐานอาจจะเกิดขึ้นในเดือนส.ค. สำหรับไตรมาสที่ 4 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง และต้นปีหน้าสำหรับของประเทศไทย หรือหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกไม่ฟื้นตัวขึ้นมาดังคาด Fed จะหันมาใช้ QE3 ซึ่งก็เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในเอเชียเช่นกัน ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  ใน 2 วันที่ผ่านมาตลาดรับรู้ข่าวร้ายไปมากพอสมควรแล้วกับปัญหาหนี้ในยุโรป จากนี้ไปเราลุ้นข่าวดีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นซึ่งประกอบไปด้วย 1) ผลประกอบการของบริษัทสหรัฐฯ และธนาคารไทยที่คาดว่าจะออกมาดี 2) ผลประชุมของ EU ในวันศุกร์นี้ ว่าจะมีแผนแก้หนี้ยุโรปอย่างไร 3) การผ่านแผนเพิ่มเพดานหนี้ในสหรัฐฯ และ 4) การจัดตั้งรัฐบาล ครม. และการแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ ดังนั้นยังคงมุมมองว่าตลาดหุ้นอาจ rebound ขึ้นมาในปลายสัปดาห์นี้ จนถึงสัปดาห์หน้า โดยมีเป้าหมาย SET ที่ 1100 ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ลดพอร์ตอีกครั้งหนึ้ง ส่วนหุ้นที่เป็นกระแสในการเก็งกำไรช่วงนี้คือหุ้นในกลุ่มหุ้นขนาดกลางเช่นกลุ่มโรงแรม (MINT CENTEL) กลุ่มพาณิชย์ (HMPRO BIGC) กลุ่มบ้าน (AP SPALI) กลุ่ม ICT (LOXLEY) กลุ่มบันเทิง (RS MCOT) โดยวันนี้อาจมีหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคาร rebound ขึ้นมาช่วย 

หุ้นแนะนำวันนี้:  PTT KTB CENTEL

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้สะสมเพิ่มเมื่อ SET index ต่ำกว่า 1040 จุด

ที่มา: บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทยจำกัด (มหาชน)

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ก่อนจะถึงวันหยุดยาว :)

ก่อนอื่นต้องขอย้ำเตือนว่า วันศุกร์นี้ตลาดหุ้นหยุดนะครับ เพราะเป็นวันสำคัญทางศาสนาครับ

หลาย คนอาจจะเซ็งที่ ตลาดหุ้นปรับตัวลงได้ขนาดนี้นะครับ (ผมเตือนแล้ววว ว่าการเลือกตั้งของเราไม่ได้มีนัยยะที่จะทำให้ตลาดดีขนาดน้านนนนน)
แต่ในมุมมองของผมแล้ว ตลาดหุ้นน่าจะรีบาวนด์ได้บ้าง ไม่พรุ่งนี้ ก็วันพฤหัสครับ!!!

ที่ผมคาดการณ์อย่างนั้นเพราะ
1. วิกฤติเศรษฐกิจของ อิตาลี น่าจะดูดีขึ้นแล้วครับ เมื่อรัฐบาลออกมาสัญญาว่าจะตัดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองในระยะสั้น (รัดเข็มขัดนั่นแหละ)

2. Stress Test ที่สเปนไม่ผ่าน (ตลาดก็น่าจะคาดการณ์ไว้แล้ว เพราะ สเปนมี credit rating แย่กว่า อิตาลีอีกครับ) น่าจะเป็น sentiment ระยะสั้นครับ

3. วันศุกร์นี้เป็นวันพระ (เกี่ยวมั้ยเนี่ย) วันพระใหญ่ด้วยครับ ตลาดหุ้นหยุดนั่นเอง แน่นอนครับ สัปดาห์หน้าจะมี ผลประกอบการของบริษัทฯ ต่างๆ ทยอยประกาศออกมา ก็น่าจะเริ่มเก็งกำไรกันได้ครับ (จริงๆ หุ้นบางตัว ตลาดก็เก็งกำไรไปพอสมควรแล้วแหละ ฉะนั้นต้องดูดีๆครับ ตัวไหนขึ้นแรงๆ ไม่นับ เพื่อไทย Effect นะครับ แสดงว่าเขาก็เริ่มเล่น theme นี้กันแล้วครับ)

4. เรื่องเพดานนี้ที่อเมริกาก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นครับ (เกมการเมือง ไม่ได้มีแค่เมืองไทยครับ หุหุ ไว้จะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น) เพราะ วันที่ 2 สิงหา จะเป็นตัวกำหนดเส้นตายครับ ถ้าขยายเพดานนี้ไม่ทัน (ซวยครับ!!!) ไม่ใช่ ก็จะทำให้อเมริกาเกิด การผิดนัดชำระหนี้(Credit Default) อเมริกา สร้างความน่าเชื่อถือมา 200 กว่าปีครับ เป็นความภาคภูมิใจของเขา ผมว่ายังไง เขาก็ไม่ยอมหรอกครับที่จะเกิดเหตุการณ์ผิดนัดชำระนี้ขึ้น เพียงแต่ เปรียบเทียบแล้วก็เหมือน บารัก โอบามา เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วต้องไปขอคะแนนเสียงสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทยให้ผ่านกฎหมายอ่ะครับ (คิดว่าง่ายเหรอคุณ หึหึ)

5. สุดท้ายแล้วครับ คุณเชื่อใน เทคนิคมั้ยครับ? ถ้าคุณเชื่อ คุณลองไปดู Graph Technic ได้ครับ อิอิ น่าจะเกิด Gap Theory ได้ครับ (เลือกตั้งเสร็จเปิด Gap ขนาดนั้น ต้องปิดก่อนครับ เดี๋ยวบ้านพัง อิอิ)

เมื่อรวมเหตุผลทั้ง หมดที่ได้กล่าวมา ผมถึงมองว่า การลงทุนในหลักทรัพย์จะน่าสนใจ ในปลายสัปดาห์และยิ่งลงทุนในบริษัทที่มี เงินปันผลระหว่างกาลด้วยแล้ว ยิ่งน่าสนใจเลยครับ อย่างน้อยถ้าเรามองภาพโดยรวมพลาดไปก็ยังมี เงินปันผลให้เราได้ครับ

สุดท้าย ก็ยังขอเตือนครับว่า ถ้าคุณข้อมูลไม่เพียงพอ (ก็ถามโบรกเกอร์ ซะ) ไม่ใช่!!!
ก็ต้องขยันทำการบ้านหน่อยครับ อย่าเล่นหุ้นที่ตัวเองไม่คุ้นเคย ล้มทีมันเจ็บหนักครับ ผมโดนมาแล้ว!!!!

ปล. สุดท้ายก็ขอฝาก Page ใน Facebook ด้วยนะครับ " Broker's View Point " ครับ หวังว่าเราจะได้คุยกันมากขึ้นนะครับ :)

กลยุทธ์การลงทุนประจำวันที่ 12 กรกฏาคม 2554

ปัญหาหนี้ยุโรปกลับมาอีก และจะไม่หยุดแค่ตรงนี้

          ตลาดกลับมากังวลถึงปัญหาหนี้ในยุโรปอีกครั้ง โดยในครั้งนี้กังวลไปถึงประเทศอิตาลีว่าจะต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินเช่นเดียวกับกรีซ ซึ่งเราเชื่อว่าปัญหาหนี้ในยุโรปจะมีอย่างต่อเนื่องไปอีก 1-2 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ตลาดยังกังวลว่าสหรัฐฯ ยังไม่อาจบรรลุข้อตกลงการเพิ่มเพดานหนี้ได้
         ในขณะที่ก่อนหน้านี้นักลงทุนก็กังวลถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินเฟ้อของจีน อย่างไรก็ตามในระยะสั้นเรายังมองว่าช่วงท้ายสัปดาห์ตลาดหุ้นจะได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการของบริษัทจะทะเบียนในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะออกมาดี ขณะที่นักลงทุนอาจเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการของกลุ่มธนาคารไทย ที่จะประกาศออกมาดีในสัปดาห์หน้า

สำหรับมุมมองในระยะกลาง เรายังคงมุมมองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ว่าจะเป็นไปในลักษณะ sideway up มากกว่าที่จะขึ้นไปทันทีเนื่องจากตลาดหุ้นโลกยังมีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อ รวมถึงปัญหาหนี้ในยุโรปที่ยังไม่หมดไป และเชื่อว่าจะมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การหมดลงของ QE2 จะจำกัดสภาพคล่องในตลาดโลก ซึ่งจะจำกัดกรอบการขึ้นของตลาดหุ้น ขณะที่ตลาดหุ้นหลังจากรับรู้ข่าวดีเรื่องการเมืองไปแล้ว ช่วงที่เหลือในไตรมาสที่ 3 ก็จะรอดูความชัดเจน และผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นจากนโยบายต่างๆ ดังนั้นเรายังมองว่าไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับฐานลงได้อยู่ โดยเรามอง Downside risk ของตลาดหุ้นไว้ที่ 1013 ซึ่งการปรับฐานอาจจะเกิดขึ้นในเดือนส.ค.
สำหรับไตรมาสที่ 4 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง และต้นปีหน้าสำหรับของประเทศไทย ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:  เรามองความเสี่ยงการลงทุนในระยะสั้นมีเพิ่มขึ้น ทั้งจากนโยบายของภาครัฐและปัญหาหนี้ในยุโรป อย่างไรก็ตามเรามองว่าหุ้นปลายสัปดาห์นี้จนถึงต้นสัปดาห์หน้าอาจจะ rebound ขึ้นมา จากการเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ และของกลุ่มธนาคารไทย แต่การเก็งกำไรคงต้องมีจุด stop loss  หาก SET ปรับลงมาต่ำกว่า 1070 (ตามสัญญาณทางเทคนิค) ส่วนหุ้นที่เป็นกระแสในการเก็งกำไรช่วงนี้คือหุ้นในกลุ่มหุ้นขนาดกลางเช่นกลุ่มโรงแรม (MINT CENTEL) กลุ่มพาณิชย์ (HMPRO BIGC) กลุ่มบ้าน (AP SPALI) กลุ่ม ICT (LOXLEY) กลุ่มบันเทิง (RS MCOT) เป็นต้น ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารและพลังงาน ใช้กลยุทธ์ซื้อเมื่ออ่อนตัว ลุ้น rebound สัปดาห์หน้า

หุ้นแนะนำวันนี้:  BIGC RS MINT

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้สะสมซื้อเมื่อ SET index ต่ำกว่า 1040 จุด
ปัจจัยที่เกิดขึ้นรอบโลก

ดัชนี DJ ปิดลบ 151.44 จุด หรือ 1.20% ปิดที่ 12,505.76 จุด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 24.31 จุด หรือ 1.81% ปิดที่ 1,319.49 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 57.19 จุด หรือ 2.00% ปิดที่ 2,802.62 จุด เนื่องจากนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวัง ต่อสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการคลังของอิตาลี เพราะเกรงว่าอิตาลีอาจจะเป็นประเทศต่อไปในยุโรปที่ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้แบบเดียวกับกรีซ หลังจากที่มูดีส์ ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อว่าตราสารหนี้ระยะยาวและเงินฝากของธนาคารเอกชน 16 แห่งของอิตาลี ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมเตือนว่ามีความเป็นไปได้ที่มูดีส์จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีซึ่งปัจจุบันยืนอยู่ที่ระดับ Aa2 หลังจากเศรษฐกิจอิตาลีขยายตัวเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ตัวเลขหนี้สาธารณะมีอยู่สูงถึง 120% ของตัวเลขจีดีพี สูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรป ทั้งนี้อิตาลีได้ประกาศควบคุมการทำชอร์ตเซลล์ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลอิตาลีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีที่ 5.565% ส่งผลให้ค่าสเปรดของพันธบัตรอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2.90% เมื่อเทียบกับพันธบัตรของเยอรมนี ขณะเดียวกัน ตลาดวิตกกังวลกับข่าวที่ว่า ที่ประชุมระหว่างคณะทำงานของประธานาธิบดี บารัค โอบามาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการปรับเพิ่มเพดานหนี้ ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มกังวลว่า สหรัฐอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ผิดนัดชำระหนี้

ที่มา: บล กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)