Daily View
สิ่งที่เกิดขึ้นรอบวัน
1. ดัชนี DJ ปิดเพิ่มขึ้น 145.13 จุด หรือ 1.21% ปิดที่ 12,188.69 จุด
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 16.57 จุด หรือ 1.29% ปิดที่ 1,296.67 จุด
และดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้น 41.03 จุด หรือ 1.53% ปิดที่ 2,729.31 จุด
เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า
1.1 รัฐสภากรีซจะผ่านร่างมาตรการรัดเข็มขัดระยะ 5 ปี
1.2 ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนหลังจาก S&P Case&Chillers รายงานว่า ดัชนีราคาบ้านใน 20 เขตเมืองของสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนเม.ย. สูงกว่าที่ตลาดวอลล์สตรีทคาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.3% และเป็นการปรับตัวขึ้นรายเดือนเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้น
1.3 แม้ว่าคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดรายงานว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.ของสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 58.5 จุด จากระดับ 61.7 จุดของเดือนพ.ค. เนื่องจากผู้บริโภคยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้า
2. สัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น USD3.80 มาปิดที่ระดับ USD1,500.20 ได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร ทำให้ทองคำกลับมาปิดบวกได้เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ
3. ราคาน้ำมัน Nymex ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น USD2.28/bbl ปิดที่ USD92.89/bbl เนื่องจากนักลงทุนขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่ารัฐสภากรีซจะผ่านร่างมาตรการรัดเข็มขัดระยะ 5 ปี เพื่อปูทางสู่การรับเงินช่วยเหลืองวดใหม่จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐจะปรับตัวลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการพลังงานในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
4.ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคมปรับตัวลดลง 1.3% จากปีก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นระดับที่ร่วงลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
5. นายกฯ ญี่ปุ่น เผยพร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่ง หลังรัฐสภาอนุมัติงบประมาณพิเศษชุดที่ 2 สำหรับปีงบประมาณ 2554 โดยพรบ.งบประมาณดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการออกพันธบัตรเพื่อลดยอดขาดดุลและพรบ.ยังจะช่วยส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้
Strategy
นักลงทุนมั่นใจมากขึ้นกับสถานการณ์ในประเทศกรีซว่ารัฐบาลจะสามารถผ่านมาตรการรัดเข็มขัดได้ และยังได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขราคาบ้านสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในวันนี้ นอกจากนั้นในช่วงท้ายสัปดาห์เรายังเชื่อว่าตลาดจะยังคงมีแรงเก็งกำไรจากเรื่องการทำ window dressing โดยเฉพาะมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางจะทำให้การทำ window dressing ทำได้ง่ายขึ้น และการปรับตัวขึ้นอาจต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์หน้าหลังเลือกตั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดรับรู้เรื่องในเชิงลบต่อปัจจัยการเมืองไปมากแล้ว ความชัดเจนที่มากขึ้นหลังเลือกตั้ง อาจทำให้เกิดแรงเก็งกำไรกลับขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ตามเราเรายังมองว่าช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานลงได้อีกและต่ำกว่าระดับ 1000 จุด (downside risk อยู่ที่ 970 จุด) จากการหมดลงของ QE2 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นในช่วงนี้ทำได้เพียงการเก็งกำไรเท่านั้น แต่เราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น และหากมองในแง่บวกการที่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มลดลงในช่วงนี้ จะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3
คงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: การเก็งกำไรระยะสั้นที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ยังคงเป็นการเก็งกำไรในตลาดขาลงระยะกลาง โดยในสัปดาห์นี้ยังคงกลยุทธ์เดิม คือเก็งกำไรได้จนถึงต้นสัปดาห์หน้า จากการเก็งกำไรเรื่อง window dressing และปัจจัยด้านการเมือง โดยแนะนำให้เก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ที่อาจเป็นเป้าหมายในการทำ window dressing เช่น KTB SCB BBL TOP SPALI LPN เป็นต้น นอกจากนี้เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาสที่ 2 ออกมาดี และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล เช่น TUF CPF เป็นต้น หรือเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม domestic play เช่น กลุ่มพาณิชย์ (CPALL ROBINS GLOBAL) กลุ่มบันเทิง (MAJOR MCOT)
หุ้นแนะนำวันนี้: KTB TUF
กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54 แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น โดยเราเชื่อว่า stagflation หรือ Double dip ที่กังวลกันยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงช่วงนี้ เป็นผลเพียงแค่ระยะสั้น จากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น
ที่มา: บล. กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
หุ้นที่ Blogger ขอแนะนำให้จับตามอง
1. เล่นระยะสั้น ลุ้นรีบาวนด์ของกลุ่มธนาคารได้ เนื่องจาก ต่างชาติเทขายออกมาสูงมาก กลุ่มพลังงาน: PTT ปรับตัวลดลงมาแรงเนื่องจากการที่ตลาดกังวลเรื่อง ท่อก๊าซที่รั่วออกมา แต่จากการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์แล้ว น่าจะส่งผลเชิงลบในระยะสั้น ตลาดรับรู้แง่ร้ายแรงเกินไป เพราะ PTT ก็มีการทำประกันชดเชยเอาไว้อยู่ และถ้าผลิตไม่ได้ก็น่าจะส่งผลกระทบแค่ 60 วันซึ่งจะทำให้กำไรของ PTT หายไป 0.6% ของการคาดการณ์
2. เล่นระยะยาว กลุ่ม พาณิชย์ เนื่องจากการปรับตัวย่อตามฤดูกาล เช่น CPALL, ROBINS, HMPRO
กลุ่มธนาคาร KBANK,SCB,BBL และ KTB โดยที่ BBL มีสัดส่วนการปรับย่อตัวลงมาสูงที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น