วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 24 มิ.ย. 2554

Daily View

1. ความวิตกกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจกลับมากดดันตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เตือนความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ  
2. ผลสำรวจของ HSBC พบว่าตัวเลข PMI ของจีนเดือนมิ.ย. ลดลงอีก
อย่างไรก็ตามเราก็ยังเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าจะยังคงมีอยู่ไปอีก 1-2 เดือนข้างหน้า แต่ก็เป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น และหากมองในแง่บวกการที่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มลดลงในช่วงนี้ จะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า

ดังนั้น แม้ว่าเรายังมองว่าช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานลงได้อีกจากการหมดลงของ QE2 และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงต่อเนื่อง ประกอบกับความเสี่ยงเรื่องการเมืองหลังเลือกตั้ง แต่เรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นโดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด

Strategy

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: การปรับลดลงของราคาน้ำมัน จะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่ม domestic play
เช่น กลุ่มธนาคาร (KTB BBL SCB) กลุ่มอสังหาฯ (SPALI  LPN)  กลุ่มพาณิชย์ (CPALL ROBINS GLOBAL) กลุ่มบันเทิง (MAJOR MCOT) หรือกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง (SVI TUF CPF) และแนะนำให้ Long future เมื่อตลาดปรับลงในวันนี้ เพื่อเก็งกำไร เรื่อง window dressing และการเมืองในสัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

หุ้นแนะนำวันนี้: KBS ROBINS

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น โดยเราเชื่อว่า stagflation หรือ Double dip ที่กังวลกันยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงช่วงนี้ เป็นผลเพียงแค่ระยะสั้น จากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

ปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตา

1. ดัชนี DJ ลดลง 59.67 จุด หรือ 0.49% แตะที่ 12,050.00 จุด
    ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 3.64 จุด หรือ 0.28% แตะที่ 1,283.50 จุด
    และดัชนี NASDAQ ปิดบวก 17.56 จุด หรือ 0.66% แตะที่ 2,686.75 จุด
เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐ หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธาน FED ได้แสดงมุมมองที่เป็นลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
โดย 1) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีปีนี้ (2011) ลงสู่ระดับ 2.7-2.9% จากระดับ 3.1-3.3%
       2) ปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีหน้า (2012) ลงสู่ระดับ 3.3-3.7% จากระดับ 3.5-4.2%
       3) ปรับเพิ่มอัตราว่างงานปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 8.6-8.9% จากระดับ 8.4-8.7%
นอกจากนี้ นักลงทุนวิตกกังวลมากขึ้นเมื่อกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 มิ.ย.พุ่งขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 429,000 ราย มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 415,000 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับที่เบอร์นันเก้ได้แสดงความกังวลว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอ่อนแอ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค.ร่วงลง 2.1% สู่ระดับ 319,000 ยูนิต/ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงซบเซา
อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์สามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้ หลังจากมีรายงานว่าคณะรัฐมนตรีกรีซมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายรัดเข็มขัดระยะ 5 ปี ซึ่งจะทำให้กรีซได้รับเงินกู้เพิ่มเติมจากสหภาพยุโรป และกองทุนไอเอ็มเอฟ ขณะเดียวกันมีรายงานว่า แผนรัดเข็มขัดระยะ 5 ปีของกรีซได้รับการอนุมัติจากคณะผู้ตรวจสอบของอียูและไอเอ็มเอฟแล้ว ซึ่งแผนการดังกล่าวครอบคลุมถึงการขึ้นภาษีและลดงบประมาณการใช้จ่าย
2. สัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง USD32.90 (คิดเป็น 2.12 %) มาปิดที่ระดับ USD1,520.50 เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอย่างหนัก
3. ราคาน้ำมัน Nymex ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง USD4.39/bbl(คิดเป็น 4.60%) ปิดที่ USD 91.02/bbl หลังจาก 28 ชาติสมาชิกเครือข่ายสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ประกาศว่าจะระบายน้ำมันดิบบางส่วนจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์เข้าสู่ตลาด เพื่อบรรเทาภาวะอุปทานพลังงานตึงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในลิเบีย

4. สำนักงานงบประมาณแห่งรัฐสภาสหรัฐ (CBO) เผยว่า แนวโน้มด้านงบประมาณของสหรัฐกำลังอยู่ในห้วงวิกฤต และคาดว่าตัวเลขหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐอาจพุ่งขึ้นแตะระดับ 70% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

5. รัฐบาลกรุงปักกิ่งและหลายบริษัทในพื้นที่เตรียมออกหุ้นกู้มูลค่า 5 หมื่นล้านหยวน เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาถูกในกรุงปักกิ่ง ส่วนเงินที่เหลือจะถูกนำไปใช้กับโครงการด้านวิศวกรรมที่สำคัญๆ 
6. ดัชนี PMI เบื้องต้นของจีน ซึ่งรวบรวมโดย HSBC ในเดือนมิ.ย. 54 ลดลงมาอยู่ที่ 50.6 จากเดือนพ.ค.ซึ่งอยู่ที่ 51.1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น