วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ได้เวลาจ้องมองผลกำไรของบริษัท อีกครั้ง ตอนที่ 1 ตลาดอเมริกา

คัดลอกและดัดแปลงจาก หนังสือพิมพ์"ข่าวหุ้น" ฉบับประจำวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ถึงเวลาจ้อง “ผลกำไรบริษัท” กันอีกครั้ง 
















     

สำหรับนักลงทุนมือใหม่แล้ว อาจจะยังไม่ทราบกันว่า ผลประกอบการของบริษัทใน 1 ปี จะมีด้วยกันเป็น 4 ไตรมาส นั่นก็คือ ไตรมาส 1 คือเดือน มกราคม- มีนาคม และจะประกาศผลประกอบการใน เดือนเมษายน ที่ผ่านมาเป็นต้น นี่คือธรรมเนียมของปีการเงินที่ตรงกับปีปฎิทิน

ถามว่ามีบริษัทอื่น ที่ไม่เป็นไปตามทำนองนี้หรือไม่? คำตอบคือ มีครับ เช่น บริษัทน้ำตาล KSL, KBS เพราะเป็นช่วงน้ำตาลเข้าหีบจะเป็นช่วงที่ไม่สอดคล้องกับ การบันทึกรายได้ของบริษัทฯนัก จึงทำให้บริษัทฯ เลือกที่จะประกาศผลประกอบการในเดือน มิถุนายน

เพราะฉะนั้นขอสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถ้าบริษัททั่วไปคิดปีการเงินตรงกับปีปฏิทิน เราจะได้เห็นผลประกอบการในไตรมาส 1 -4 เป็นดังนี้ครับ เดือน เมษายน (1) เดือนกรกฎาคม (2) เดือนตุลาคม (3) และเดือนมกราคมของปีหน้า (4) โดยที่อาจจะมีการผ่อนปรนระยะเวลาในการทำบัญชี ภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ก็ไม่น่าจะเกิน 1 เดือน (นอกจากทำเรื่องขออนุญาตกับ ตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็จะมีระยะเวลาที่กำหนดอยู่)

ที่จั่วหัวเรื่องนี้ก็เพราะว่า เดือนหน้าก็เป็นเดือนกรกฎาแล้วครับ หลังจากที่เดือนมิถุนา กำลังจะผ่านพ้นไปก็มีข้อสังเกตว่าผลประกอบการต่างๆ จะออกมาดีมั้ย เพราะต้องเจอปัญหาต่างๆ นานา เช่น เรื่องปัญหาสึนามิของญี่ปุ่นที่จะเข้ามาเต็มตัว และปัจจัยระยะสั้นของเดือนนี้ คือ ปัญหาเรื่องหนี้กรีซ(จริงๆ เป็นปัญหาข้ามปี แต่มันมารุนแรงอีกครั้งในเดือนนี้ครับ) และการยุติ QE2 ของเฟด อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าถึงช่วงเดือนหน้าแล้ว นักลงทุนก็จะให้น้ำหนักกับ 2 ปัจจัยข้างบนน้อยลงไป เพราะจะได้เวลาที่นักลงทุนจะมาดูกำไรของบริษัทในช่วงไตรมาสสองจะเป็นอย่างไร?

Blogger จะขอนำคำพูดของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (ของสหรัฐ)มามอง แล้วจะวิเคราะห์ของไทย ตามลำดับ (ต้องขออนุญาตยกไปไว้ตอนที่ 2 ครับ) ดังนี้นะครับ ผู้บริหาร FedEx รายงานว่ากำไรและยอดขายในช่วงไตรมาสที่ 4 (สิ้นสุดเดือน พค) ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด และแนวโน้มก็จะดีไปด้วย ซึ่งทำให้หุ้น FedEx พุ่งขึ้น 3% และหุ้น UPS ซึ่งเป็นคู่แข่งปรับตัวขึ้น 1% ไปด้วย หุ้น Chainsupermarket ก็ประมาณการกำไรอย่างแข็งแกร่งในช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา
"โดยรวมแล้ว คาดว่า กำไรในช่วงไตรมาสสองจะค่อนข้างแข็งแกร่ง"
กำไรของบริษัทที่มีน้ำหนักในดัชนี S&P จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14% และยอดขายจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% นั่นถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะมันชี้ว่า บริษัทกำลังทำเงินอีกครั้งเพราะมีดีมานด์ต่อสินค้าและบริการ ของพวกเขาอย่างแท้จริง ซึ่งตรงข้ามกับการลดต้นทุน เพื่อรักษาส่วนต่างกำไร 

แต่ภาคการเงินเป็นข้อยกเว้นสำหรับกฎข้อนี้ (ขอเน้นว่านี้ยังเป็น view ของตลาดหุ้น US)
โดยคาดว่า การเติบโตของรายได้ในภาคการเงิน จะลดลงมากที่สุดในบรรดา 10 ภาค
เมื่อมองไปยังตลาดที่เหลือ  การดีดตัวของราคาโภคภัณฑ์ กำลังช่วยให้กำไรโดยรวมสูงขึ้น และคาดว่า บริษัทพลังงานและวัสดุจะมีระดับการเติบโตปีต่อปีที่แข็งแกร่งที่สุด  ส่วนภาคสุุขภาพและสาธารณูปโภคซึ่งเป็นภาคเดียวที่คาดว่าจะมีกำไรลดลง เป็นภาคที่ล้าหลังอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ดี ยังคงมีหลายๆ เหตุผลที่น่ากังวลอยู่  และดูเหมือนว่า  จะมีความไม่สอดคล้องกันระหว่างประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเลวร้ายลง กับ ประมาณการกำไรซึ่งดีขึ้น ซึ่งมีทั้งนักวิเคราะห์ที่มีมุมมองเป็นบวก และมุมมองที่เป็นลบ ต้องสิ่งที่เกิดขึ้น

เช่นนักวิเคราะห์ของแฟกซ์เซ็ต ออกมาบอกว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาทำให้คิดว่าตัวเลขกำไรจะลดลงสำหรับช่วงไตรมาส 3และ 4 แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น  CEO หลายคนได้พูดถึงสิ่งที่ดีๆ เกี่ยวกับบริษัทของพวกเขา แต่ไม่ได้สนับสนุนความเชื่อมั่นนี้ด้วยการจ้างงานเพิ่ม นั่นคือปัญหา


ในขณะที่หัวหน้าฝ่ายธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯ ก็บอกมากล่าวว่า หลายๆ บริษัทรู้สึกเป็นลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม แต่ก็ยังคงมองธุรกิจของตนเองในด้านบวก   นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าประมาณการกำไรโดยรวมสูงเกินไป


โดยได้ทำการเปรียบเทียบผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่า หากไฟไหม้บ้านที่อยู่ถัดไปจากบ้านคุณ คุณจะรู้สึกเชื่อมั่นโดยนั่งอยู่เฉยๆ เพราะในขณะนี้ไฟยังไม่ได้ไหม้บ้านคุณอย่างนั้นหรือ ?

ซึ่งก็มีบางบริษัทที่ออกมาปรับลดประมาณการเมื่อต้นเดือน เช่น บริษัท TEXAS Instrument เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ยอดขายในยุโรปซบเซา ผลกระทบของแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น เพราะเป็นที่ทราบกันว่า ธุรกิจการค้าของสหรัฐ กับ ญี่ปุ่น มีความเกี่ยวเนื่องกัน อย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่า ส่วนต่างกำไรล่าสุด มีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ    มันจึงเป็นไปได้ว่า ส่วนต่างกำไรได้พุ่งสูงสุดแล้ว และอาจจะไปไหนไม่ได้อีก  นอกจากต้องปรับตัวลง  
ซึ่งก็มีนักวิเคราะห์ได้ออกมากล่าวถึงเช่นกันว่า ส่วนต่างกำไรของบริษัทใกล้สูงเป็นประวัติการณ์แล้ว คำถามคือ มันจะประคับประคองต่อไปได้หรือไม่ และในขณะที่ตลาดมีกำลังใจมากเมื่อหลายๆ บริษัทเตรียมจะรายงานผลกำไร แต่ก็ยังต้องให้นักลงทุนระมัดระวังอยุ่เช่นกัน


Blogger จะพยายาม อัพเดทผลประกอบการของบริษัท รวมถึงอัพเดทวันที่บริษัทจะประกาศทั้งในสหรัฐ และในไทย แล้วถ้ามี Consensus ก็จะรายงานให้ทุกท่านทราบนะครับ :)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น