Strategy
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบวัน
1. รัฐสภามีมติรับรองรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะมีผลให้การโหวตมาตรการรัดเข็มขัดที่จะมีขึ้นในวันอังคารหน้า มีผลให้การแก้ไข้ปัญหา จะผ่านได้มากขึ้น และมีผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นทั่วโลก (ตลาดรับรู้ข่าวเรื่องกรีซ มากพอสมควรแล้ว ไม่น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัว เพิ่มขึ้น หรือ ลดลง จนกว่าจะมีเหตุการณ์นัยยะสำคัญที่แตกต่างออกไป)
2.. การประกาศยอดสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ของไทย มีผลทำให้กลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 2.18% นำโดย
- KBANK ที่ยอดสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้น 3.6% MoM โดยสินเชื่อมาจาก Corporate loan โดยมีสัดส่วนของ working cap ใกล้เคียงกับสัดส่วนของ term loan มีผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +5 บาท คิดเป็น 4.5 %
- TMB 2.2% MoM 1 ใน 3 ขอบงยอดสินเชื่อที่ BIG C กู้จาก TMB ได้ทำการชำระในเดือนนี้และ รายได้อีกส่วนหนึ่งมาจาก รัฐวิสาหกิจ ส่วนราคาหุ้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
- SCB 2.1% MoM ยอดสินเชื่อส่วนใหญ่มาจาก กลุ่ม Sector Food& Agri ส่วนราคาหุ้น SCB เพิ่มขึ้น +1.50 บาท คิดเป็น 1.44%
- BBL โต 0.5% MoM แต่ BBL ก็ยังมียอดสินเชื่อที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคารด้วยกัน โดยส่วนใหญ่จะมาจาก corporate loan
เหตุการณ์ที่ต้องจับตาในคืนนี้
1. ผลการประชุมของ Fed ในคืนนี้น่าจะยังประกาศคงมาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อไป และยังคงไม่มีแผนการถอนเงินออกจากระบบการเงิน (Exit Strategy) ถ้า Fed ไม่ประกาศก็มีผลได้ว่า ตลาดหุ้นยังคงมีความน่าสนใจอยู่และ เงินก็จะยังอยู่ในระบบได้ต่อไป (เป็นสัญญาณที่ดีกับตลาดหุ้น โดยเฉพาะ DJIA ในคืนนี้)
เหตุการณ์ที่ยังคงต้องเฝ้าดูอยู่
1. การเก็งกำไรเรื่องการเมือง
2. การทำ window dressing ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 2
อย่างไรก็ตามเรายังมองว่าการปรับขึ้นรอบนี้เป็นการปรับขึ้นในตลาดขาลงระยะกลาง โดยมองว่าช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานจากการหมดลงของ QE2 ประกอบกับความเสี่ยงเรื่องการเมืองหลังเลือกตั้ง
สำหรับการลงทุนระยะยาว
การปรับฐานที่เกิดขึ้นจะเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเราเชื่อว่าการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุผลชั่วคราวจากเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ราคาน้ำมันที่ลดลงช่วงนี้ จะเป็นผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงในอนาคต และเรายังคงมั่นใจถึงความแข็งแกร่งของกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่จะทำให้ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยใหม่
คงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:
1. เก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารและอสังหาฯ ได้บางส่วนจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ BBL KTB SCB SPALI LPN STEC
2. หุ้นกลุ่มส่งออกจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง TUF CPF และ SVI
3. หุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 2 จะออกมาดี และมีการจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีเช่น CPF TVO HMPRO BAFS ADVANC MAJOR MCOT และ SPALI เป็นต้น
4. เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะมีการทำ window dressing เช่น TOP MINT BTS LPN SPALI STEC TICON SCB TISCO SF
กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54 แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น โดยเราเชื่อว่า stagflation หรือ Double dip ที่กังวลกันยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงช่วงนี้ เป็นผลเพียงแค่ระยะสั้น จากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น
ที่มา: บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
ปล. ขออนุญาตเขียนเพิ่มเติมในบล็อกของผมเองนะครับ ธนาคารที่สินเชื่อโตสูงสุด ของเดือน ก็มีความน่าสนใจอยู่ครับ ตอนนี้กำลังจะแตะ เส้น 200 วันด้วย ก็ต้องเฝ้าระวังดูนะครับว่าหุ้นสีเขียวๆ ตัวนั้นจะวิ่งทะลุแนวต้านแรกได้หรือไม่ครับ :>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น