วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การลงทุนวันที่ 23 มิ.ย. 2554

วันนี้เพื่อเพิ่มมุมมองนะครับ จะขอคัดลอกส่วนเนื้อหา บทวิเคราะห์ของ 2 
โบรกมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ (จะอัพเดทบทความนี้เรื่อยๆครับ)
Daily View
1.  ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ออกมาส่งสัญญาณเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงอ่อนแอ และมีความเสี่ยงต่อการฟื้นตัว พร้อมปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งปีนี้และปีหน้าลง โดยเรื่องนี้ตลาดได้รับรู้มาพอสมควร เนื่องจากราคาน้ำมันยังคงปรับเพิ่มขึ้นมาได้ (ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 95.41 USD/bbl จาก 94.17 USD/bbl: ข้อมูลจาก e-financ)
 ที่มาของรูปภาพ: http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=21951


เราก็ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาส Rebound ได้ต่อในระยะสั้น
1. จากการเก็งกำไรเรื่องการเมือง ที่ก่อนหน้านี้ได้รับรู้ข่าวลบไปมากพอสมควร
2. การเก็งกำไรเรื่อง Window dressing ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 2
อย่างไรก็ตามเรายังมองว่าช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานจากการหมดลงของ QE2 ประกอบกับความเสี่ยงเรื่องการเมืองหลังเลือกตั้ง

การลงทุนระยะยาว การปรับฐานที่เกิดขึ้นจะเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเราเชื่อว่าการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุผลชั่วคราวจากเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ราคาน้ำมันที่ลดลงช่วงนี้ จะเป็นผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงในอนาคต และเรายังคงมั่นใจถึงความแข็งแกร่งของกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่จะทำให้ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยใหม่
คงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด

Strategy
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น:
1. แนะนำเก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารและอสังหาฯ ได้บางส่วนจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ BBL KTB SCB SPALI LPN
2. เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 2 จะออกมาดี และมีการจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีเช่น CPF TVO HMPRO BAFS ADVANC MAJOR MCOT และ SPALI เป็นต้น
3. เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะมีการทำ window dressing เช่น TOP MINT BTS LPN SPALI STEC TICON SCB TISCO SF

กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54  แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น โดยเราเชื่อว่า stagflation หรือ Double dip ที่กังวลกันยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงช่วงนี้ เป็นผลเพียงแค่ระยะสั้น จากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

ที่มา : บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 


บทวิเคราะห์จาก บล. กิมเอ็ง (หยิบเงินหยิบทอง) แล้วนำมาดัดแปลงโดย Blogger อีกต่อหนึ่งครับ
 
Daily  View
                ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงอีกครั้ง แต่ก็เพียง 3.86 จุดมาอยู่ที่ 1023.86 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 20,217 ล้านบาท และเกิดแรงขายทำกำไรเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่อย่าง PTT – PTTCH – BANPU รวมถึงกลุ่มธนาคาร และต่างชาติขายสุทธิอีกครั้งด้วยเม็ดเงินกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่
                ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1,018 – 1,030 จุด โดยที่ต้องจับตาค่าเงินบาทเทียบ USD หลักการประชุด FED คืนวานนี้ แม้ว่าจะมีการปรับลดมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงก็ตาม แต่เฟดกลับเพิ่มมาตรการทางอ้อมด้วยการนำเงินที่ได้จากการลงทุนในตราสารหนี้กว่า US$2 ล้านล้าน มาลงทุนในระบบต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะลดแรงกดดันของนักลงทุนทั่วโลกได้เช่นกัน ทิศทางค่าเงินดอลลาร์จะกลับมาอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลัก ซึ่งจะเอื้อต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้น และน้ำมัน ได้ดีดตัวกลับมายืนเหนือ $95/bbl อีกครั้ง
                KEST คงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จนถึงวันประกาศผลการเลือกตั้ง รวมถึง Window Dressing แรงเก็งกำไรต่อผลการเลือกตั้ง ซึ่งมีโอกาสเห็น Hedge Fund จากต่างประเทศเข้ามาสะสมหุ้นไทยมากขึ้นในสัปดาห์หน้า
                ดังนั้นการลงทุนในช่วง 1 – 2 สัปดาห์นี้ ควรมุ่งเน้นที่หุ้นขนาดใหญ่และลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กชั่วคราว

Strategy
                KEST แนะนำถือพอร์ตส่วนที่เหลือ และทยอยสะสม JAS, TOP

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น