สิ่งที่ต้องจับตาคือ การจะขอแลกภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% โดยจะขอแลกกับ BOI (การไม่เสียภาษี ซึ่งจะมีผลลบกับ กลุ่มโรงงาน กลุ่มอิเลคทรอนิคส์ บางธุรกิจที่มาจากต่างชาติ ซึ่งการให้ BOI จะเป็นตัวจูงใจพวกเขา เพราะฉะนั้น คิดว่าข่าวนี้จะเป็น Sentiment ระยะสั้น เป็นไปได้ยากที่จะทำออกมาถ้าหุ้นกลุ่มนี้ลดลงมาแรงๆ ก็น่าสนใจที่จะเข้าลงทุน)
Strategy
SET index ในรอบนี้ปรับเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 998 จุดมาเป็น 1140 จุดในปัจจุบัน หรือปรับเพิ่มขึ้นแล้ว 14% และหากรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 2.56% ซึ่งหมายถึง SET index ในรูปเงิน US ปรับขึ้นมาแล้ว 16.56% ซึ่งก็พร้อมที่จะให้นักลงทุนต่างประเทศขายทำกำไรออกมา ขณะที่เป้าหมาย SET index ปีนี้ของเราอยู่ที่ 1250 จุด เหลือ upside ประมาณ 8.8% จากระดับปัจจุบัน ซึ่งด้วยผลตอบแทนดังกล่าว อาจไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันเช่น 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากสหรัฐฯ ต้องมีการตัดงบประมาณ เพื่อผ่านแผนปรับเพิ่มเพดานหนี้ และตัวเลขเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกก็แสดงการชะลอลงอย่างชัดเจน 2) ปัญหาหนี้ในยุโรปที่พร้อมจะกลับมาทุกเมื่อ และอาจจะลุกลามเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศอิตาลีและสเปน 3) ปัญหาเงินเฟ้อในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย และ 4) ความเสี่ยงเรื่องการปรับอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ลงที่ถึงแม้ว่า Fitch และ Moody’s จะออกมาบอกว่ายังไมลดอันดับช่วงนี้ แต่ก็ยังคงมุมมองในเชิงลบต่อไป
แม้ว่าในระยะสั้นเรายังกังวลถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และตลาดอาจมีการปรับฐานในระยะสั้น แต่เรายังไม่เปลี่ยนมุมมองที่เป็นบวกในระยะกลาง เนื่องจาก 1) เราเชื่อว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุเพียงชั่วคราวเท่านั้น 2) แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง หรือต้นปีหน้า 3) หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกไม่ฟื้นตัวขึ้นมาดังคาด Fed จะหันมาใช้ QE3 ซึ่งก็เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในเอเชียเช่นกัน และ 4) การปรับลดงบประมาณรายจ่ายของสหรัฐฯ จะทำให้สหรัฐฯ ยังคงต้องใช้นโบยายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป ซึ่งนั้นหมายถึงการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ แต่อัตราดอกเบี้ยเอเชียยังมีแนวนัมปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งนั้นจะนำไปสู่การทำ Dollar carry trade ในระยะต่อไป ดังนั้นเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: แม้ว่าเรายังคงมีมุมมองว่าตลาดในเชิงบวกระยะสั้น แต่แนะนำให้จำกัดเงินในการเก็งกำไร หรือทยอยขายทำกำไร เนื่องจากข่าวดีในระยะสั้นใกล้หมดลงแล้ว โดยการเก็งกำไรที่เกิดขึ้นจากนี้อาจเน้นไปที่
Theme ที่ 1: หุ้นที่คาดว่าจะรายงานกำไรออกมาดี และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วยเช่น HMPRO (คาดว่าจะจ่ายปันผล 0.14 บาทต่อหุ้น) MAKRO (4.40 บาทต่อหุ้น) BAFS (0.33 บาทต่อหุ้น) CPF (0.50 บาท) RATCH (1.1 บาทต่อหุ้น) TTW (0.15 บาทต่อหุ้น) ASP (0.07 บาทต่อหุ้น) TUF (0.6 บาทต่อหุ้น) TVO (0.87 บาทต่อหุ้น) KH (0.1 บาทต่อหุ้น) ADVANC (4.00 บาทต่อหุ้น) BEC (0.75 บาทต่อหุ้น) MAJOR (0.35 บาทต่อหุ้น) MCOT (0.9 บาทต่อหุ้น) LPN (0.2 บาทต่อหุ้น) SPALI (0.35 บาทต่อหุ้น) ROJNA (0.30 บาทต่อหุ้น)
Theme ที่ 2: หุ้นที่มี P/E ถูกและพื้นฐานดี และได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่นหุ้นในกลุ่ม ICT ADVANC DTAC LOXELY AIT SAMTEL SAMART กลุ่มผุ้ประกอบการบ้าน LH AP LPN SPALI กลุ่มสื่อ RS MAJOR กลุ่มประกัน BLA กลุ่ม commercial CPN
Theme 3: หุ้นที่ที่มักมีการเก็งกำไรในช่วงก่อนประกาศจ่ายปันผลเช่น PTTCH CPF TVO DRT GRAMMY TCAP IT และ MCOT อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย
หุ้นแนะนำวันนี้: SAMTEL RS LOXLEY
กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54 แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้สะสมเพิ่มเมื่อ SET index ต่ำกว่า 1050 จุด ตามการปรับประมาณการณ์ขึ้นของนักวิเคราะห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น