Daily View
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นตลอด 2 วันทำการที่ผ่านมา หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลต่อการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์วิกฤติหนี้ในยุโรป โดย CDS ของประเทศสหรัฐฯและยุโรปปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่เช้านี้ญี่ปุ่นได้รายงานตัวเลข GDP ไตรมาสสอง ชะลอตัวเพียงร้อยละ 1.3 ที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัร้อยละ 2.6 ซึ่งเราเชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวจะช่วยผ่อนความวิตกต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้พอสมควรและสนับสนุนการรีบาวด์ของตลาดหุ้นในระยะสั้น
สำหรับแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอลงแต่เราเชื่อว่าแรงขายดังกล่าวยังคงมีอยู่ซึ่งจะกดดันการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น โดยปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติมีกำไรจากตลาดหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่ 5.5% (ลดลงจาก 14.5%) ซึ่งเราเชื่อว่าตลาดจะเคลือนไหวแกว่งตัวออกด้านข้าง ก่อนจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 หรือต้นไตรมาสที่ 4 โดย downside ก็ยังคาดว่ามีจำกัดเนื่องจาก 1) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่ง 2) เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวในระดับที่ดี 3) ราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในเอเชีย และ 4) กองทุนในประเทศจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อ เนื่องจากการเข้าซื้อกองทุน LTF โดยเราให้ Downside ของ SET index ไว้ที่ 1010 จุด
ขณะที่มุมมองในระยะกลางของเรายังเป้นบวก และมองการปรับฐานเป็นโอกาสในการสะสมซื้อ เนื่องจาก 1) เราเชื่อว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าปี 2551 เนื่องจากสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับช่วง subprime 2) ปัญหาหนี้ในยุโรป โดยเฉพาะในอิตาลีและสเปน สุดท้ายจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF และ EU 3) แรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง หรือต้นปีหน้า หลังจากราคาน้ำมันปรับลดลงมาอย่างรุนแรง ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียก็แข็งแกร่งกว่าประเทศพัฒนามาก และ 4) การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำของสหรัฐฯ ถึงกลางปี 2556 จะนำไปสู่การทำ Dollar carry trade ในที่สุด โดยเราคงเป้าหมาย SET index ปีนี้ที่ 1250 จุด โดยมองว่าหุ้นในกลุ่ม domestic play จะ outperform ตลาดโดยภาพรวม
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น: การ rebound รอบนี้อาจขึ้นมาได้ในกรอบจำกัด ดังนั้นยังเก็งกำไรในวงเงินจำกัดไปก่อน โดยเน้นเก็งกำไรหุ้นในกลุ่ม domestic play เป็นหลัก เนื่องจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่มีมากขึ้น ขณะที่การบริโภคในประเทศยังมีแนวโน้มสดใสจากนโยบายของภาครัฐ
1) หุ้นในกลุ่มผู้ประกอบการบ้าน เพราะการที่ Fed ตรึ่งอัตราดอกเบี้ยไปอีก 2 ปี และราคาน้ำมันที่ลดลง อาจทำให้มีการคาดหมายว่าอัตราดอกเบี้ยไทยใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มผู้ประกอบการบ้าน นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มนี้นักวิเคราะห์เราคาดการณ์ว่ากำไรจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ แนะนำ SPALI AP LPN LH และ PS
2) หุ้นที่มี P/E ถูก ผลประกอบการคาดว่าจะออกมาดี และได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่นหุ้นกลุ่ม ICT ADVANC DTAC LOXELY AIT SAMTEL SAMART กลุ่มผุ้ประกอบการบ้าน LH AP SPALI กลุ่มสื่อ RS MAJOR MCOT กลุ่มประกัน BLA กลุ่ม commercial CPN กลุ่มพาณิชย์ HMPRO BIGC CPALL
3) หุ้นที่มักมีการเก็งกำไรก่อนการประกาศจ่ายปันผลเช่น CPF TVO GRAMMY TCAP และ MCOT
อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรควรมีจุด stop loss ตามสัญญาณทางเทคนิคประกอบด้วย
กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน): แม้ว่าเราจะมองตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 3/54 แต่เรายังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นไป 1250 จุด ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นแนะนำให้ถือหุ้นพอร์ตต่อไป และการปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเพิ่ม โดยยังคงแนะนำให้ทยอยสะสม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น