กลยุทธ์ลงทุนรายสัปดาห์ (วันที่ 16-20 มกราคม 55)
ความเสี่ยงยังอยู่ครบ ตลาดพร้อมปรับฐานทุกเมื่อ
ความเสี่ยงต่อการปรับฐานมาจากหนี้ยุโรป และเม็ดเงิน LTF แนะลงทุนหุ้นผันผวนน้อยกว่าตลาด คือ กลุ่มหุ้นปันผลเด่น Big Cap: INTUCH, ADVANC, RATCH, CPALL ส่วน Small Cap: SIRI, SC, TTW, SMIT
Top Picks SC และ RATCH
ธ.พ. กลาง- เล็ก กระทบสุดจากการเก็บค่าธรรมเนียมการออกตั๋ว B/E
นโยบายการจัดหาเงินของ BOT คาดว่าจะมี 3 ทางคือ
1) เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการออกตั๋ว B/E กับ ธ.พ. เพิ่มเติมจากเดิมที่ไม่เคยเรียกเก็บ ซึ่งหากมีการเรียกเก็บในอัตรา 0.35% ก็คาดว่าจะได้เงินเข้ากองทุนราว 7 พันล้านบาท
2) ขอให้นำรายได้จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคลที่ภาครัฐจะปรับลด (30% >> 23%) รวมแล้วคือ 7% คิดเป็นมูลค่ากว่า 9 พันล้านบาท
และ 3) จัดสรรค่าธรรมเนียม ที่ปัจจุบัน แบงค์ นำส่งเงินสมทบให้กับ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ในอัตรา 0.40% ในราว 87.5% ของเงินนำส่งสถาบันทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าราว 3 หมื่นล้านบาท
ซึ่งจะดีกว่าที่ทาง ASP และ ตลาดคาดการณ์ เพราะจะทำให้ต้นทุนการเงินของ ธ.พ. อยู่ที่ 0.62%ของเงินฝาก จากเดิมทิ่คิดว่าเลวร้ายสุดคือ 1% (เดินต้นทุนการเงินจะอยู่ที่ 0.4%)
จะทำให้กำไรสุทธิของธนาคารลดลงเพียง 7.61% (ถ้าธปท เรียกเก็บต้นทุนการเงินเป็น 1% จะทำให้กำไรสุทธิของธนาคารพาณิชย์ลดลง 21%) ซึ่งวิธีการแบบนี้จะกระทบกับธนาคารหลักๆที่นิยมออกตั๋ว B/E 3 แห่งคือ TCAP, LHBANK, TISCO และตามมาด้วยธนาคารขนาดกลาง-เล็ก คือ KK และ BAY จึงแนะนำให้เน้นหุ้นใหญ่ที่กระทบน้อยคือ BBL, SCB, KBANK
การประมูลพันธบัตรของ Greece, Spain กดดันเงินยูโร และหุ้นโลกผันผวน
แม้การประมูลพันธบัตรจะออกมาดี แต่ในสัปดาห์หน้าการ Refinance ตราสารหนี้ที่ครบกำหนดในระยะสั้นยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง การประมูลพันธบัตรของประเทศในกลุ่ม PIIGC ยังมีอยู่อีกจำนวนมากตลอด Q1 ซึ่งพันธบัตรในกลุ่ม PIIGC จะครบกำหนดราว 1.7 แสนล้านเหรียญฯ โดยกรีซจะเป็นปัจจัยกดดันสถานการณ์กลุ่มยุโรปโดยรวม ซึ่งน่ากดดันให้ค่าเงินยูโรยังคงผันผวนแม้จะแข็งค่าขึ้นระยะสั้นมาอยู่ที่ 1.281 เหรียญฯต่อยูโร แต่น่าจะเป็นแนวต้านสำคัญ สวนทางกับ Dollar Index ที่ทรงตัว 80 จุดและมีโอกาสฟื้นตัว เป็นสัญญาณที่ชี้ว่าตลาดหุ้นโลกยังมีโอกาสผันผวนและปรับฐานระยะสั้นได้
ต่างชาติซื้อต่อเนื่องในภูมิภาค(เอเชีย) เป็น Week 2 แต่เริ่มขายไทย และอินโดฯ
ต่างชาติมียอดซื้อสุทธิราว 781 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 31.7% โดยตลาดหุ้นไต้หวันถูกซื้อมากสุด (ไต้หวันกำลังมีการเลือกตั้งพอดี ซึ่งผลออกมาว่าประธานาธิบดีคนเดิม ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง) รองลงมาเป็นตลาดเกาหลี และเริ่มมีการขายสุทธิออกมา 83 ล้านเหรียญในตลาดหุ้นไทย
ที่มา: ศูนย์วิจัยเอเซีย พลัส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น